find job during covid

กราบสวัสดีผู้อ่านทุกๆคนค่าาาาา หายกันไปนานมาก(อีกแล้ว) ก็เพราะตั้งแต่ออกมาจากกักตัวเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ใช้พลังงานทั้งหมดในการเครียด “หางาน” เจ้าค่าาา เนื่องจากเราสอบโทเสร็จในช่วงที่เราอยู่ที่กักตัวของรัฐ และได้ใบจบปริญญาโทปลายเดือนธันวา ก็เลยใช้เวลาหลังจากกักตัวเสร็จ หางาน รัวๆๆ!! และต้องการหาเงินอย่างด่วนนน เนื่องจากครอบครัวไม่มีปัญญาจะเลี้ยงแล้วเนอะ ค่าเรียนโทก็แพ๊งแพงง เราก็ไม่กล้าจิขอแล้ว ก็เลยไม่รอช้า ต้องรีบ หางาน กันรัวๆๆ

find job during covid

เริ่มแรกของการ หางาน
HOW IT ALL STARTED

เริ่มดูเว็บ หางาน อย่างตั้งแต่จากช่วงธันวาที่ออกมา แต่ช่วงนั้นคือช่วงที่เริ่มมีการระบาดโควิด (ไม่ใช่ระลอก 2 แต่เป็นระลอกใหม่นะจ้ะ) ก็เลยเริ่มรู้แล้วว่าการหางานครั้งนี้น่าจะยากกว่าที่คิด จากตอนแรกที่คิดว่าสถานการณ์โควิดน่าจะดีขึ้นเยอะแล้ว แต่พอการระบาดมันกลับมา ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล แค่ดูถนนโล่งไม่มีคนก็รู้แล้วว่าการหางานน่าจะเงียบเหงาเหมือนกัน ความยากในครั้งนี้ยังมีอีกหลายเหตุผลอีก คร่าวๆคือ:

  1. Ego ของคนเรียนจบโท
  2. Pride ของคนที่มีประสบการณ์งาน ที่ถึงแม้ไม่ถึง 2 ปี แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลย แต่เสียตรงเป็นประสบการณ์ในสายงานที่ยังไม่เด่นไปทางใดก็ทางหนึ่ง พอดีเราทำ startup มา เลยทำมันหมด กลายเป็น jack of all trades master of none จ้า หรือจับฉ่ายไปหมด ตั้งแต่วุฒิการศึกษา ที่เรียนจบตรีอักษร และโท business management จนตำแหน่งงานที่
  3. และเรายังมี ego ของคนที่มีฐานเงินเดือนสูง โดยเฉพาะถ้าเปรียบกับอายุการทำงาน เนื่องจากโดน spoil จากงานแรก ให้เยอะอีกก
  4. ความเรื่องมากของการเลือกงาน ต้องการที่จะถูกใจอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่ที่ทำงาน จนไปถึงตำแหน่ง และเจ้านาย
  5. โควิด-19 ค่าาาาาา แค่หางานเฉยๆก็ยากแล้ว ยังต้องมีอุปสรรคที่เลวร้ายตัวใหญ่นี้ที่นอกจากจะทำให้บริษัทไม่รับคนเพิ่ม เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว ยังมีคนหางานเพิ่มขึ้นเป็นคู่แข่งเยอะขึ้นอีก

job hunting during covid

จบการ หางาน ยังไงให้วิน
HOW IT ALL ENDED

ความต้องการเหล่านี้ พร้อมกับอุปสรรคต่างๆ ทำให้เรารู้เลยว่าหางานครั้งนี้ไม่ง่าย วันนี้เราเลยอยากมาแชร์ tips ดีๆ เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้รับ offer จากงานถึง 4 ที่ ทั้งบริษัท startup e-commerce ชื่อดัง จนไปถึง marketing agency ต่างๆ นอกจากเราจะได้เงินเดือนที่ต้องการแล้ว เรายังสามารถต่อรองขอเงินเดือนได้เพิ่มอีก 20% จากที่ขอตอนแรก นี้ก็เพราะว่าเรามี offer มามากกว่า 1 นั่นเอง ทำให้การลองหลายๆที่เป็นเรื่องสำคัญมาก! แนะนำเพื่อนๆอย่ารักเดียวใจเดียว ไปหลายๆที่ เหนื่อยหน่อย แต่ทำให้เรามี power ในการตัดสินใจมากขึ้นมากๆ

นอกจาก job offer ที่ได้มา 4 ที่แล้ว เรายังมีประสบการณ์ interview หรือสัมภาษณ์งานมากกว่า 10 ที่ และมากกว่า 15 ครั้ง มีการตอบกลับจาก tech giants อย่าง Google และ TikTok อีกด้วย

สำหรับการ สัมภาษณ์งานกับ Google เป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นเกียรติมาก เรื่องจากเป็น dream job เรา แค่ได้เรียกไปสัมก็รู้สึกพอใจละ ไม่ต้องได้ไปต่อก็รู้สึกดีว่า resume เราคง right track ถึงแม้ว่าที่ตอบไปคือแย่มาก เพราะคำถามยากจริงๆก็ตาม ถ้าว่างๆเราจะมาเขียนบทความรีวิวให้อ่านกันน เพราะคำถาม brain teaser เค้าทำเรางงจริงจัง555

บางที่บางก็จะมีทั้งสอบ test และสัมภาษณ์เพิ่มอีก คือเยอะจนต้องขอปฏิเสธ ตอนแรกๆไม่กล้าปฏิเสธเลย เพราะกลัวจะมาเสียดายตอนหลัง  และอยากไปลองให้หมด JUST IN CASE มันดี หรือมันเข้ากับเรา แต่กลายเป็นเยอะจนไม่ไหว อันไหนตัดได้ ประมาณว่าถ้าได้งานที่นี้ก็คงไม่เอาอยู่ดี ก็ให้ตัดไปก่อน

ถ้าอันไหนสัมภาษณ์ face-to-face และเราไม่ได้อยากทำงานที่นี้อยู่แล้ว ก็ลาก่อยย บางทีดีหน่อยมีให้สัมแบบ video call (เพราะโควิด) ก็เลยพอได้อยู่วว

ก่อนที่เราจะมาแชร์ประสบการณ์การหางาน หรือ tips ต่างๆ เราอยากบอกไว้ก่อนว่าอันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ในสายงานของเรา นั่นก็คือ digital marketing ทำให้อาจจะไม่ได้สามารถใช้กับทุกคนได้ขนาดนั้น อยากเอามาฝากเพื่อเป็นความรู้ และมาเป็นข้อคิดให้เจยๆๆๆน้าา


PART 1: CRAFTING THE PERFECT RESUME

เริ่มแรกเลย เราต้อง update resume  ของเราให้พร้อม และดูดีก่อน นอกจากจะ update ประวัติการทำงาน วุฒิการศึกษา ป.ตรี ป.โท แล้ว เราก็อาจจะเริ่มคิดว่าอยากเขียนอะไรใน description ของ job experience เราให้โดดเด่น และดูน่าสนใจ

Objective สำคัญของ resume เราคือ “การได้สัมภาษณ์งาน” หรือการได้ “call back” เพราะหลังจากนั้นเราสามารถถูกถามเพิ่มเติมได้ แต่ถ้า resume  เราไม่ถูกดูด้วยซ้ำ คือจะเขียนยาวแค่ไหนก็ไม่สำคัญ tips สำหรับการเขียน resume ทีดีก็จะมีคร่าวๆประมาณนี้:

find job during covid

TIPS #1: Action verbs that show accomplishments ✔

ใช้ Action Verbs ให้ดี! เราเห็น resume ของหลายๆคน ชอบบอกว่าทำอะไรในแต่ละวัน แต่ไม่บอกว่าในการทำงานตำแหน่งนี้ทั้งหมด เรา  acoomplish หรือทำอะไรสำเร็จบ้าง เช่นแทนที่จะบอกว่าในแต่ละงาน เรา manage นี้นะ อยากให้เปลี่ยนมาบอกว่าเรา manage ก็จริง และเกิดอะไรขึ้นที่มีความสำคัญ หรือพิเศษเพราะเราเป็นคนดูแลเรื่องตรงนี้

ถ้าเราอยากให้ resume เราเด่น ตัวอย่างของเรา แทนที่จะเขียนว่าเป็นประธานรุ่น (Class President) นะ ให้เขียนว่าแล้วในตำแหน่งนี้อะทำไรไป ทำไรได้บ้าง อะไรที่เรา achieve เราก็เขียนว่า Led a team of ten people to execute various on and off campus activities as Class President of four years เป็นต้น

แทนที่จะเอาเนื้อที่ไปเขียน soft skills ว่าเรามี skill อย่าง leadership communication organization ที่ใครๆก็จะเขียนก็ได้ แต่เราทำให้มันโดดเด่นโดยใช้ experience จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นในการทำงาน full-time อย่างเราอาจจะมี experience ที่นำทีมมาแล้วในการทำงาน แต่เราดันคิดว่าการเป็นประธานรุ่นท้าทายกว่าอีก เพราะต้องดูแลจัดการคนมากกว่าตอนที่ทำงานแรก เราก็ใส่อันนี้แทน

การเพิ่มใช้ action verbs ที่แตกต่างกันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และความแปลกใหม่ก็สามารถยกระดับให้ resume เราน่าสนใจ และโดดเด่นได้

TIPS #2: Include numbers where possible ✔

มาถึงข้อนี้ ก็เป็นการ support ข้อแรก เราจะเขียนถึงความสำเร็จ เราก็ควรมีตัวเลข ส่วนตัวเราโง่เลขมาก แต่เอาง่ายๆ เช่น traffic/impression เพิ่มขึ้น 10% จาก 100 คนเห็นเป็น 110 เป็นเต้น มันช่วยทำให้เราดูเป็นคนมีหลักการ ไม่ได้มั่ว ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใส่มันทุกอันจนดูมั่วไปหมด ที่สำคัญคือต้องจำได้ เพราะถ้าเค้าถามเราก็สามารถอธิบายเบอร์ได้ว่าทำอะไรไป และเบอร์นี้จากเท่าไหร่ไปเท่าไหร่ ในเวลาเท่าไหร่

 

TIPS #3: Clear, organized and logical format ✔

เราว่าข้อนี้ไม่พูดไม่ได้ มันอาจจะรู้ๆกันอยู่แล้ว แต่เชื่อไหมว่าตอนเราสัมคนในงานแรก คนที่ส่ง resume มามีไม่ professional เยอะมาก บางคนมี  anime เป็น background ของ resume งี้ หรือใช้สีแบบ neon มาเลยก็มี อย่าลืมว่า resume เราต้องน่าสนใจตั้งแต่แรกเห็น มันควรดูสะอาด น่าอ่าน และ organized ง่ายๆคือใช้ font เดียวกันให้หมด ส่วนขนาดก็ตาม heading และควรสม่ำเสมอ ถ้าสำหรับปีที่ทำงานเราเป็นแบบ bold ทุกอย่างที่เป็นเลขปีก็ควร bold ตามเป็นต้น รู้ว่าง่ายๆ common sense แต่ควรย้ำอย่างมาก

มากไปกว่านั้น เราเข้าใจว่าที่เมืองนอกเค้าไม่ต้องติดรูป และที่เกาหลีใต้จะเชคหน้าตาก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไทยก็แล้วแต่ เราแนะนำให้ใส่ แต่สำหรับของเราไม่ใช่รุปติดบัตร แต่เป็นรูป high quality professional ธรรมดาที่เป็น profile picture ใน LinkedIn เรานั่นเอง

ส่วนการเขียน resume ถ้าอยากทำง่ายๆ สวยๆ เราแนะนำให้ใช้ Canva นางมี template ฟรีที่ดูดี สะอาดๆ เยอะมากกก

เราแนะนำอีกอย่างคือไม่ต้องมี objectives ใน resume แต่เป็น profile summary เพราะเราว่า objectives มันไม่จำเป็น เค้ารู้อยู่แล้วว่าเราส่ง resume มาทำไม ก็เพื่อให้ได้งานไง เอาเนื้อที่ตรงนั้นมาเพิ่มการขาย profile เราดีกว่า

TIPS #4: Best to have 1 page (for entry-mid levels)
only include what matters and exclude the rest ✔

สำหรับคนที่มีประสบการณ์ทำงานไม่นานไปกว่า 5 ปี เราแนะนำให้พยายามทำให้ resume ให้สั้น และได้ใจความใน 1 หน้า ไม่ว่าคุณจะเป็นประธานรุ่น ทำรับกิจกรรมอะไรมา ไม่ต้องใส่หมดก็ได้ ถ้ามันไม่ได้ช่วยขายตัวเราให้ได้ตำแหน่งนั่นๆ เราใช้ resume ในการส่งให้ทุกบริษัท ไม่เปลี่ยนเลย เข้าใจว่าหลายๆที่บอกให้อาจจะต้อง customized นิดนึง แต่ตัวเราเองรู้ว่าอยากไปทางไหน และตำแหน่งก็จะออกไปทางเดียวกัน คืออยู่ใน digital marketing

ส่วนตัวคือประสบการณ์ทำงาน full-time อาจจะแค่ 1.8 ปี แต่มี part-time, intern, freelance เยอะ เลยอาจจะเลยหน้าหนึง เราอยากแนะนำว่าเอาที่สำคัญๆ และล่าสุดจริงๆ หน้าเดียวก็พอ เพราะไม่มีคนอยากเปิดอ่านนานๆหรอกเนอะ

และเนื่องจากเราเชื่อว่า resume ที่มีหน้าเดียวมีที่น้อย การที่จะเขียนอะไรลงไปควรโชว์ความสามารถเรามากที่สุด ทำให้ link ไป tips ก่อนหน้านี้ ว่าจะเขียนอะไรควรเป็นสิ่งที่เราโดดเด่น และ accomplish จริงๆ ถ้าไม่มีอะไรโดดเด่นก็ไม่ต้องใส่เด้อ เดียวเค้าจะถามเราก็ถามเอง

อย่าลืม objective ของเราว่าเราต้องการให้เค้าโทรกลับมา ให้เราไปสัมภาษณ์งาน เราไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าบอกทั้งชีวิตให้เค้ารู้ว่าทำอะไรมาบ้าง เพราะมันไม่จำเป็น ตัดออกเลยสิ่งที่ไม่สำคัญหรือโดดเด่นอะไร จุดประสงค์เลยคือเราไม่อยากให้เค้าคิดว่าเราเป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่เค้าสามารถเพิกเฉย ไม่ต้องสนใจ หรือให้เวลาในการโทรกลับได้

 


PART 2: JOB HUNTING CHANNELS AND PLATFORMS

9 เทคนิคเนรมิตโปรไฟล์ LinkedIn ให้เด่นสะดุดตา - SkillSolved Recruitment

TIPS #5: LinkedIn does not work in Thailand that well

ส่วนตัวเราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าคนหางานกันยังไง ในเว็บ หรือช่องทางไหน เราคิดถึง LinkedIn เป็นอันดับแรก แต่กลายเป็นว่ามี opening น้อยมากเนื่องจาก linkedin จะออกไปฝรั่งๆ corporate หน่อย ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่ามันไม่ค่อย work สำหรับเรา เราส่งไปเป็นสิบๆ ในเดือนธันวา แทบไม่ได้คำตอบเลย โดยเฉพาะพวก easy apply นี้ยิ่งคู่แข่งเยอะ เราไม่แนะนำ

TIPS #6: LinkedIn Premium Trial is only good for private messaging recruiters

เนื่องจากไม่ได้คำตอบจากที่ไหนเลยในเดือนแรก เราเลยลองใช่ linkedin premium ที่เค้ามีให้ free trial 1 เดือน อยากบอกว่าไม่แทบไม่เห็นความแตกต่าง5555 โอเคเราอาจจะเห็นว่าใครมาดูเราได้บ้าง แต่ feature อื่นๆ เช่นรู้ data ของผู้สมัครอื่นๆ หรือเงินเดือน เราแทบไม่เห็นว่ามันจะช่วยเลย โดยเฉพาะความไม่นิยมใช้ linkedin ในประเทศไทย และคนไทยที่ไม่ได้ทำ profile ให้ update ขนาดนั้น feature นี้เลยไร้ค่ามากๆ

เราว่าสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะดีคือการส่ง private message ให้คนได้ โดยไม่ต้องเป็น connection หรือเพื่อนกับเค้า เราว่าสิ่งนี้สำคัญ เราสามารถ land interview กับ GroupM เพราะการส่ง private message ให้ recruiter หรือ talent acquisition ของบริษัทนั่นๆ แต่ถ้าถามว่าส่งไปแล้ว ได้คำตอบก็จริง แต่ได้งานไหม เราบอกเลยว่าไม่ นอกจากอาจจะไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสม หรือเราเองที่ไม่เข้ากับ company มันยังมีอุปสรรคอีกเยอะมาก แต่ถ้าเรามีตำแหน่งงานในใจอยู่แล้ว การ private message ก็อาจจะช่วยให้เค้าเห็นความพยายามของเราได้

จากประสบการณ์ เราไม่แนะนำให้ส่ง private message ไปให้ recruiter ของบริษัทใหญ่ๆ ขนาดเราส่งไปให้ Head Acquisition จากหลายๆที่ นอกจากเค้าจะไม่ตอบแล้ว คนที่ตอบจริงๆก็ดูไม่ได้ดำเนินการอะไรเป็นพิเศษนะ เราเชื่อว่าเค้าคงยุ่งมาก ไม่ก็มีหลายคนที่ดูแลในแต่ละ department ทำให้ส่งไปเถอะ แต่จะดูไม่ดูอันนั้นอีกเรื่อง

COVID-19 Jobs and Resources Hub | #TogetherAhead | JobsDB Hong Kong

TIPS #7: JobsDB does not appreciate international students

เราไม่เคยใช้ JobsDB มาก่อน เพราะนึกว่าจะมีแต่ตำแหน่งงานที่ภาษาไทยมากๆ ซึ่งก็จริง บริษัทจะออกไทยๆหน่อย แบบที่ถามว่าพ่อแม่พี่น้องชื่ออะไรในใบสมัครประมาณนั้น ถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นองค์กร global หรือ job description จะเป็นภาษาอังกฤษหมดก็ตาม แต่ตอนนั้นด้วยความที่ linkedin ไม่มีใครตอบ เราก็ลอง ไม่ได้เสียหายอะไร อันที่จริง มีคนโทรมาจาก JobsDB มากกว่า LinkedIn อีก แต่ถามว่าดี หรือน่าสนใจไหมนั่นอีกเรื่อง เราว่าเค้าไม่ค่อย appreciate language skill เท่าไหร่ จบนอกก็ไม่ได้สนใจ จากความรู้สึกเหมือนเค้าอยากได้ฐานเงินเดือนที่เค้ามีอยู่ในใจ โทรมาถามไปงั้น เพราะคงจะมีคนมาสมัครเยอะ อะไรประมาณนี้

ปัญหาหลักๆเลยอีกอย่างคือ ส่ง resume ไป received แล้วแต่ไม่เปิด หรือเปิดและบอกว่าตำแหน่งปิด และไม่รับแล้ว เจอบ่อย แอบหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ appreciate และชอบ feature ที่เราสามารถ track resume ได้ เพราะ Linkedin ไม่มีแบบชัดเจน และสะดวกสบายในที่เดียวกันแบบนี้ จะส่ง notifcation มาตอนเค้าเปิดดู หรือโหลดไปเฉยๆ

 

TIPS #8: Send direct emails

เราว่าวิธีนี้ดีที่สุด แต่เราเข้าใจว่าวิธีนี้มันสามารถทำได้ทุกสายงาน สายงานเราด้าน digital agency จะทำได้ เพราะส่วนใหญ่บริษัทเล็ก และมีเมลตรงในเว็บ เราใช้การเข้าไปในทางที่ไม่ปกติ เพื่อให้ได้ attention หรือความสนใจ

สิ่งที่เราทำคือการ search สายงานของเรา เช่น digital marketing agency และเข้าเว็บของบริษัทที่ขึ้นมาใน google เข้าไปในเว็บเค้า และหาอีเมล อีเมลอะไรก็ได้ จะเป็น [email protected] หรือจะ [email protected] ไม่จำเป็นต้อง recruiter หรือ [email protected] เลย เพราะเราว่าการที่เราส่งแบบนี้มันก็ไม่ปกติอยู่แล้วอะเนอะ

อย่าลืมว่า objective เราคือการมองเห็น เราต้องการให้ใครก็ได้เห็น และถ้าเป็น recruiter ถ้าเค้าไม่เปิดใน linkedin/jobsdb ที่เค้าเปิดตำแหน่งงาน และเค้าจะเปิดของเราหรอถ้าเราเมลไปโดยตรง เรารู้สึกว่าการส่งเมลไปแบบนี้ ทำให้คนเห็นเยอะและเห็นเร็วดี มีการตอบสนองไว เนื่องจากบางครั้งเป็นการที่ลูกค้าติดต่อบริษัท ทำให้คนในบริษัทเห็นโดยตรง บางทีก็อาจจะเป็นเจ้าของเลย เพราะหลายที่เจ้าของก็จะดูแลเรื่องการขาย การติดต่อลูกค้า ถ้ายังเล็กๆอยู่

เราแนะนำว่าในอีเมล subject ให้ตรงจุด คือ Job Opportunities เป็นต้น และในอีเมลให้อธิบายตัวเองสั้นๆ ว่าเป็นใคร มาจากไหน และสิ่งที่โดดเด่นมาสัก 2-3 ประโยค ก่อนที่จะแนบ resume และบอกเค้าว่าฝากหน่อย เปิดรับทุกตำแหน่งที่เห็นสมควรประมาณนี้ อย่างน้อยๆจะมีคนสนใจ หรืออยากรู้อยากเห็น ก็จะส่งกลับมาให้เราเข้าไปคุยกับเค้า

เราทำวิธีนี้ได้ผลมาก ส่งไปประมาณ 18 ที่ ตอบกลับมา 13 ที่ ส่วนที่ส่งแบบในเว็บ ที่เค้ามีให้ fill in box ไม่ตอบกลับสักที่เลย กลายเป็นว่าเราได้  interview 10 ที่จากที่ส่งไป ได้ผลสุดๆ

TIPS #9: Referral HELPS

อย่าไปอายกับการบอกเพื่อนว่าเราหางานอยู่ และขอความช่วยเหลือ หลายคนคิดว่าเราอยากหางานด้วยตัวเราเอง ไม่อยากขอความช่วยเหลือใคร แต่เราจะบอกว่ามีหลายบริษัทมากๆๆที่ถ้าไม่ refer ไม่รับ ยิ่งในตอนนี้ จากที่ฟังมาหลายที่ เหตุผลที่บางครั้งตะแหน่งงานปิดก่อนที่เราจะได้การโทรกลับก็เพราะเค้าสัมคนที่ถูก refer มาแล้ว และได้คนเรียบร้อย

อย่าลืมว่าการ refer เป็นอะไรที่วินวินกันหมด เราได้งาน บริษัทได้คน เพื่อนที่ refer เราได้เงินค่า referral อีก!!


PART 3: INTERVIEW TIPS

จากการที่เราได้สัมภาษณ์งานงานมากถึง 15 ครั้ง จาก JobsDB Linkedin การส่ง direct email และการ referral จากเพื่อน และการสัมภาษณ์งานที่เดิม แต่คนละคน เราก็พอมีประสบการณ์พอที่จะมาแชร์ความรู้ และข้อคิดให้ฟังกันน

TIPS #10: Plan the perfect “tell me about yourself” question

อย่างน้อยๆเลยถ้าไม่รู้จะเตรียมตัวยังไง หรือขี้เกียจเตรียมตัวเพราะมีสัมภาษณ์งานเยอะมากเหมือนเรา ก็ต้องพอรู้ว่าจะอธิบายตัวเองยังไง ตอนเค้าให้แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อย เพราะคำถามนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็ถาม การตอบที่ดีที่สุดคือตามลำดับ

  • ชื่อ การศึกษา หรือที่ทำงานล่าสุด
  • ตำแหน่งงานที่ทำล่าสุด และสิ่งเด่น หรือ achievement ที่เราได้ทำในตำแหน่งงานนี้
  • ทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี้แบบสั้นๆ เช่นสนใจในบริษัทเพราะได้ยินชื่อมานาน หรือเป็นบริษัทที่มีเพื่อนแนะนำมาเยอะ บลาๆ

TIPS #11: Do your homework

สำหรับสัมภาษณ์งานทุกครั้ง เราควรทำการบ้านมาก่อน การบ้านอาจจะไม่ใช่เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตำแหน่งงานใน 1 คืนนะ 555 แต่เท่าที่ทำได้ คืออาจจะดูว่า job description มีอะไรบ้าง บริษัททำอะไรบ้าง ส่วนตัวเราไม่ค่อยจะรู้เรื่องทุกบริษัทที่เราไปสัมภาษณ์งานสักเท่าไหร่ เพราะเยอะไปหมดจนไม่มีเวลาหาข้อมูล ซึ่งถ้าบอกเค้าไปตรงๆก็ไม่มีอะไรมาก

TIPS #12: If you do not know the answer, DON’T LIE

เรื่องบอกเค้าไปตรงๆก็เป็นอีกเรื่องที่เราว่าสำคัญ คือถ้าไม่รู้อะไรอย่าโกหก อย่า panic  เพราะเค้าดูออกถ้าเราไม่รู้จริง there is nothing wrong in not knowing ให้บอกไปตรงๆว่าไม่รู้ แต่เดียวขอเวลาไปหาคำตอบมาให้เป็นต้น แต่ถ้าใครถามเรื่องว่ารู้จักบริษัทเราไหม รู้เรื่องการบริการ service ต่างๆที่บริษัทเรา offer ไหม ถ้าไม่ ก็บอกตรงๆ เค้าก็จะอธิบายให้


PART 4: EXTRA TIPS

TIPS #13: Do not listen to anyone else only listen to yourself

เราเจอปัญหานี้เยอะ คือฟังคนนั้นคนนี้ ปรึกษาหลายคน ทั้งเรื่องเงินเดือน เรื่องตำแหน่ง เรื่องสัมภาษณ์งานว่าไปดีไหม หรือตอบแบบนี้ไป ทำไงดี จนเครียดมากกกก ข้อคิดที่เราได้เลยคือ อย่าฟังคนอื่นมาก บอก 10 คน ก็มีความเห็นแตกต่างกัน 10 คน แต่ในที่สุดที่สุดคือคนที่เราสัมภาษณ์งานด้วย ว่าเค้าคิดยังไง บางทีสิ่งที่เราพูด อาจจะไม่โอกับเพื่อนเรา แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่โอกับคนที่เราสัมภาษณ์งานด้วย อาจจะเป็น culture fit ที่เราไม่รู้ก็ได้

อีกอย่าง พอเราได้ offer งานมาแล้ว ก็จะมีหลายคนที่บอก preference ของตัวเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่มี bias กันหมด เช่นถ้ามี 2 offer ระหว่าง startup กับ corporate เพื่อนเราบางคนที่ชอบทำงานบริษัทใหญ่ๆ ชื่อดัง เพราะได้ชื่อ ก็อาจจะบอกให้เอา offer นี้สิ ถึงแม้ลึกๆที่เรารู้ตัวเราว่าทำงานดีกว่าใน startup environment เนื่องจากไม่ชอบอยู่ในกรอบ ไม่ชอบให้บอกว่าต้องทำอะไร และชอบความสบายๆ casual ของบริษัทเล็กๆที่ทุกคนรู้จักกันเป็นต้น อย่าลืมว่าเราเป็นคนที่ต้องไปทำงาน และงานที่เราทำคือ 5 วันใน 1 อาทิตย์ เรื่องแบบนี้ฟังได้ แต่ต้องฟังหูไว้หู และเลือกด้วยตัวเอง

TIPS #14: Do not take rejections personally

การโดนปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยอีเมลตอบกลับ หรือการที่บริษัทเงียบหายไปเลย หรือแม้แต่ไปสอบ ไปสัมภาษณ์มาหลายรอบ และไม่ผ่าน ต่างสร้างความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ เสีย self เป็นธรรมดา แต่เราต้องพยายามบอกตัวเองว่า เป็นเรื่องปกติ และไม่เกี่ยวอะไรกับคุณค่าของเราเลย การที่เราไม่เข้ากับตำแหน่งงานเป็นเรื่องธรรมดามากๆ การที่เราไม่เหมาะกับทุกตำแหน่งงาน ก็เหมือนการที่เราไม่สามารถแต่งงาน เป็นแฟนกับทุกคนได้นั่นเอง

อย่างแรกให้คิดว่าดีแล้วที่เค้าปฏิเสธเราตอนนี้ดีกว่าไปทำงาน และไม่มีความสุข ก็ต้องลาออกเสียเวลาหางานใหม่อยู่ดี และอีกความคิดหนึงที่เราคิดมาตลอดคือ ถ้าเราโดนปฏิเสธ ก็แปลว่างานนี้คงไม่เข้ากับเราจริงๆ หรือเราอาจจะยังไม่พร้อมพอที่จะทำมันให้ดี แต่ทั้งนี้แล้วก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้อง give up ไม่สมัครงานตำแหน่งใกล้ๆกัน หรือบริษัทเดียวกัน เพียงพอโดนปฏิเสธ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าที่ไม่เหมาะ คือตำแหน่งงาน หรือบริษัทกันแน่ บางทีอาจจะบริษัทโอเค แต่ตำแหน่งงานไม่โอเค ถ้าเราลองตำแหน่งอื่นอาจจะได้ก็ได้ we would never know

สุดท้ายแล้ว…

แต่ไม่ว่ายังไง เราว่ามันถึงเวลาแล้วที่คนเราจะ normalize การโดนปฏิเสธ โดยในเฉพาะใน social media อย่าง facebook หรือแม้แต่นาตัวดีอย่าง linkedin ที่เราว่า toxic และ demoralizing มากๆ เพราะมีแต่คนมาโอ้อวดการได้งาน การได้เลื่อนตำแหน่ง show off และการป่าประกาศความสำเร็จ ที่ไม่ได้ให้ข้อคิด หรือ motivation ใดๆ แต่กลายเป็นให้ความเศร้า ผิดหวัง เสียใจกับคนที่ยังหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ บางทีเราว่า post นอกจากจะไม่ได้ให้ความรู้แล้ว ยังลืมที่จะตระหนักความจริงที่ว่า กว่าจะมีถึงจุดความสำเร็จในด้านการงานต้องยากลำบาก และทำงานเหนื่อยแค่ไหน

เราว่ามันถึงเวลาที่เราจะมาบอกถึงอีกมุมหนึง และมุมที่เราเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ และ relate ได้แน่นอน นั่นก็คือมุมของการ  put in the work to get what we want นั่นเอง

เราไปเจอ post นี้มาจาก LinkedIn ตอนเรากำลัง down มากๆ และคิดว่ายังไงก็คงไม่มีใครตอบกลับแน่ๆเลย  ตอนนั้นก็งงว่าหางานยังไม่ได้ จะให้ไปทำอะไรอย่างอื่น แต่เราว่ามันจริง เราควรพักออกไปข้างนอกบ้าง ก็เหมือนกับการทำงาน เราก็ต้องมีเวลาพักสมอง ใครจะรู้ว่าการออกไปหาเพื่อนอาจจะช่วยให้เรามีโอกาสใหม่ๆที่เราไม่คิดมาก่อนว่าจะมีก็ได้

ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมไว้เราจะมา edit และ update กันนะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อน และหวังว่า tips เรานี้จะช่วยให้เป้นความรู้ และกำลังใจกับคนหางานมากมาย ไม่ว่าจะสำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบ หรือคนที่กำลังอยากหางานใหม่ ว่าถึงแม้ว่าในสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นครึ่งหนึงในชีวิตแบบนี้ เราก็ยังมีความหวังนะจ้ะ 🙂

 

Comments

comments