บทความนี้จะเป็นความที่อยู่ในซีรี่ของหลาย ๆ บทความในชื่อ คู่มือ “การเรียนต่อ” และบทความนี้จะเป็นบทความแรกเลยที่เราอยากจะมาพูดถึง  การเลือกประเทศ เมือง มหาลัย และคอร์สที่ใช่สำหรับแต่ละคน คำถาม และข้อแนะนำต่าง ๆ ที่เราอยากมาฝากสำหรับใครที่เริ่มมีแพลนว่าตะไปเรียนต่อ ไม่ว่าจะทำงานประจำอยู่ หรือเพิ่งเรียนจบ เพราะการจะไปเรียนต่อที่ไหน คงต้องเริ่มจากต้นจากการรู้ว่าจะไปที่ไหนก่อนเนอะ

COUNTRY/CITY: การเลือกประเทศ และเมือง

ก่อนอื่นเลย เราต้องรู้ก่อนว่า เราอยากไปไหน หลาย ๆ คนถามมีคำถามที่ถามตัวเองแตกต่างกันไป บ้างก็มีเรื่องเงิน เรื่องเวลาของการเรียน เรื่องความใกล้ไกลจากประเทศไทย หรือบางคนคือดูแต่มหาลัยเลยไม่สนใจว่าที่ ๆ จะไปคือที่ไหน เพราะมหาลัยเด่นคอร์สนั่น ๆ แต่สำหรับเรา เราเริ่มที่ 4 ประเทศหลักที่ใช้ภาษาอังกฤษ คือ อังกฤษ อเมริกา ออส และแคนาดา

ก่อนอื่นเลย ทำไมต้องเป็นประเทศหลักที่ใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนตัวเราไม่ได้อยากไปเรียนภาษาเพิ่มแล้ว ตอนแรกอยากไปเรียนสเปนด้วยซ้ำ เนื่องจากอยากได้ภาษที่  3 ซึ่งมีเพื่อนเราหลายคนไปประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเช่น จีน อิตาลี่ เยอรมัน เพื่อเหตุผลนี้ แต่สำหรับเราเหตุผลที่อยากไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็เพราะว่า งาน เราอยากหา และทำงานที่ต่างประเทศ และการเรารู้สึกได้ว่าเราสบายใจกับการใช้ภาษาอังกฤษ บางทีมากกว่าภาษาไทย โดยเฉพาะการพูด เราเลยคิดว่าถ้าจะไปลองเสี่ยงดู น่าจะไปประเทศที่เราภาษาได้แล้วละกัน

SO, WHY AUSTRALIA?

นอกจากคำถามเรื่องการเงิน การงาน สังคม และอื่น ๆ อีกมากมายที่เราถามตัวเองเมื่อเลือกประเทศ มีหลายคนมากที่ยังดูแปลกใจที่เราเลือกออส คำตอบของเราชัดเจนมาก และนั้นก็เพราะว่า:

  • ออสเรียน 2 ปี เราอยากเรียนมากกว่า 1 ปีเนื่องจากรู้สึกว่ามันเร็วไป ยังไม่ทำอะไรก็ต้องกลับบ้านแล้ว
  • ออสไม่ต้องใช้ GMAT/GRE ที่มีเลขเพื่อสอบเข้า
  • ออสมีอากาศที่หลากหลาย และเราชอบให้มีแดด เพราะเราไม่ชอบฝน หรือวันที่มืดเร็ว
  • ออสดูเป็นประเทศที่น่าอยู่ ดูไม่อันตราย หรือการแข่งขันสูงกันไปเหมือนอเมริกา
  • ออสดู multicultural และความติดอาหารไทยก็เราน่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก
  • ที่สำคัญที่สุด ออสมี Graduating Visa ที่ให้นักเรียนที่เรียนสามารถอยู่ต่อทำงานเพื่อ Work Experience ได้มากถึง 2 ปี โดยไม่จำกัดสายงาน

นี้เป็นคำตอบที่เรารู้เลยว่าต้องไปออส และไม่ใช่อังกฤษ เมกา หรือแคนาดา ต่อไปนี้จะเป็น personal opinion ของเราหมดเลย และเรารู้ว่าทุกอย่างมีหลายแง่มุม และคนมีหลายประเภท แต่บทความนี้จะเป็นการอธิบายความรู้สึก และความคิดเห็นของเรากับประเทศนั่นล้วน ๆ เลยไม่อยากให้ใครอ่านแล้วซีเรียสกันนะ 🙂

 United Kingdom สหราชอาณาจักร

ก่อนอื่นเลยที่เราไม่ได้เลือกอังกฤษ อยากแรกเป็นเพราะว่าสภาพอากาศแย่ ส่วนตัวเรามีภาวะโรคซึมเศร้าที่ต้องคิดถึง เรารู้ว่าอังกฤษทำให้คนที่จิตใจแข็งแรง และไม่ได้เป็นอะไรก่อนหน้าไปเรียน ยังเหงา และเกิดอาการเศร้ามากโดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว ที่วัน ๆ มีแต่แต่เมฆหมอก และมืดเร็วตั้งแต่บ่าย 3

อย่างต่อมาคือเรื่องอาหาร ถ้าไม่ได้ไปอยู่ลอนดอน หรือเมืองใหญ่ ๆ หลัก ๆ เรารู้สึกว่าอาหารก็ไม่ค่อยมีเอเชียให้กินอร่อย ๆ ที่พอกินได้บ่อย ๆ หรือมี ingredient ให้ซื้อง่าย ๆ อาจจะมีอาหารจีนอยู่แล้ว แต่เราติดอาหารไทยมาก ถ้าไม่อยู่ลอนดอน เราว่าไม่น่าจะง่าย และก็น่าจะแพงมาก ๆ

อย่างต่อไปคือคน และสังคมคนไทย สำหรับอังกฤษ เราไม่คิดที่จะไปเลย เพราะส่วนตัวเราไม่ชอบสังคมเด็กไทยที่อังกฤษ และเพื่อนเราที่ไปอังฤษทุกคนคือดูมี lifestyle ที่แตกต่างจากเรามาก ส่วนใหญ่จะชอบแต่งตัวเยอะ ๆ ไปสังสรรค์กับเพื่อนในร้านอาหารแพง ๆ เราเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจ ไม่ค่อยชอบแต่งหน้า และที่สำคัญไม่มีเงินออกไปบ่อยขนาดนั้น 55555

ในความคิดของเรา เราว่ามันไฮโซ และติดหรูไป อีกอย่างคือดูมีการ compare เยอะมาก ทำให้ดูอยู่ยาก และ pressure ที่สำคัญทุกคนดูไปเที่ยวบ่อย เหมือนไปเรียนต่ออังกฤษเพื่อเอาโอกาสนี้ไปเที่ยวยุโรป สำเรา เราอยากเก็บไว้ไปเที่ยวตอนที่โต และมีเงินใช้มากกว่านี้ เพราะเราเกรงใจที่ขอครอบครัวมาเรียนเยอะมากแล้ว

United States of America สหรัฐอเมริกา

สำหรับเมกา ตอนแรกคืออยากไปมาก ๆ แต่ติดตรงไม่อยากสอบ GMAT/GRE ที่มีเลข และยากภาษาอังกฤษมาก ๆ แบบต้องอ่านเยอะมาก ๆ รู้เลยว่าถ้าต้องสอบ คงไม่มีวันได้ไปเนื่องจากไม่มีความอยากจะอ่านหนังสือเลย ยิ่งทำงานประจำ จะหา motivation จากไหน เงินเราก็ได้จากการทำงาน ทำงานทุกวันก็เหนื่อย ยังต้องมาอ่านหนังสือสอบ และเลขเรายิ่งไม่ได้จับมานานเพราะเรียนสายศิลป์มาอีก เราเลยยอมใจไม่ไปก็ได้เมกา ทั้ง ๆ ที่ใจอยากไปมากกก และที่ไปเที่ยวนาน ๆ เมือ่เดือนตุลาที่ผ่านมา ใจจริงจะไปดูโรงเรียน และเมืองด้วย

อีกเหตุผลคือเมกาค่อนข้างเป็นประเทศที่ไม่น่าอยู่ อันนี้เรารู้กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความอันตราย ของแก๊ง และปืน ที่มีข่าว mass shooting กันบ่อย ๆ ตอนเราไปเที่ยวคือ homeless เยอะมากกกกก อย่าง New York ทุกคนก็คือดูเร่งรีบเป้นปกติ แต่การแข่งขันสูงเกินไป เราว่าเราต้องทนความเครียด ความกดดัน และการแข่งขันไม่ไหวแน่ ๆ

ส่วน อีกปัญหาของเมกาคือ เรื่องการขอวีซ่าอยู่ต่อเพื่อทำงาน เราไม่ค่อยรู้เท่าไหร่แต่ที่ได้ยินมาคือ มันแล้วแต่สายอาชีพว่า in demand มากแค่ไหนถึงจะได้อยู่หลังจากเรียนจบ และได้นานเท่าไหร่ และส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เป็นหมอ หรืออะไรที่เค้าคนขาดจริง ๆ วีซ่าจะต่อหลังเรียนจบไม่ให้ถึงปี เพราะเพื่อนเราหลายคนที่เรียนจบป.ตรี โดนส่งตัวกลับหมด เลยรู้สึกเป็นการลงทุนกับการศึกษาที่ไม่ค่อยคุ้มค่าถ้าจะไปแล้วต้องโดนส่งตัวกลับทันที

Canada  ประเทศแคนาดา

สำหรับแคนาดา ค่อนข้างเป็นประเทศที่น่าอยู่ พี่น้องเคยเรียนที่ Vancouver สมัย high school และเรารู้ด้วยว่าการจะย้ายไปอยู่ที่นั้นถือว่าไม่ยากเท่าประเทศอื่น ๆ ยิ่งเราเรียนจบจากสถาบันของประเทศเค้าแล้วด้วย point ในการขอเป็นคนของเค้าก็จะสูงขึ้น เราค่อนข้างสนใจ โปรแกรม  Immigration ของประเทศนี้อย่าง Express Entry มากที่ดูเปิดรับคนเข้าอย่างเปิดใจ ดูที่ความสามารถ ถาษา การศึกษาจริง ๆ โดยไม่จำกัดสายงาน ที่ค่อนข้างเหมือนออส

แต่ที่ไม่ได้ไปแคนาดาก็เพราะว่า นางต้องการให้สอบ GMAT/GRE เหมือนกัน ไอเราเลยแบบ บรัยยยยยจ้า ถ้าสอบได้ไปเมกาดีกว่าไหม ห้ะ!

IN ADDITION TO THE COUNTRY, WHAT CITY?

ต่อมาคือ คือการเลือกเมือง บางครั้งเลยหลาย ๆ คนอยากอยู่เมืองบ้านนอก ๆ หน่อย เพราะจะได้ภาษา คนไทยน้อยอะไรแบบนี้ และก็ไม่แพงมากด้วย ก็ได้ ก็ดี แต่ก็มีข้อเสียคือ อาจจะเหงา เบื่อ ไม่อะไรทำ และไม่มีอาหารไทยให้กิน!!! โอ้แม่เจ้า นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเรา

เหตุที่เราเลือกเมลเบิร์นเลย จริง ๆ คือแรกเริ่มเราอยากไปซิดนีย์นะ แต่มหาลัยที่เราอยากเข้าไม่มีคอร์สที่เป็นระยะเวลา 2 ปี เราเลยต้องเปลี่ยนมาดูที่ เมลเบิร์น โดยส่วนตัวคือได้ไปเที่ยวทั้ง 2 เมืองตอนเดือนเมษาที่ผ่านมา และชอบทั้งคู่ มันแตกต่างกันจริง ๆ  เพื่อนเราบรรยายได้ตรงมาก คือซิดนีย์จะเหมือน One Night Stand สนุก แสงสีเสียง แพง น่าตื่นเต้น มีความไอคอนนิค คนรู้จัก และนักท่องเที่ยวเยอะ เนื่องจากใครคิดถึงออสก็ต้องคิดถึง Opera House แต่เมลเบิร์น จะเหมือนแฟนที่เราอยากเอากลับบ้านไปแนะนำครอบครัว 5555 มีความสงบ เงียบ ชิลล์ กันเอง cultural กว่านั่นเอง ซึ่งเราว่าจริงมาก

สำหรับเที่ยวกับอยู่มันไม่เหมือนกัน ยิ่งไปเรียน 2 ปี อยากให้คิดดี ๆ ว่าเมืองนี้น่าเที่ยว หรือน่าอยู่ เพราะสำหรับเราเมกา โดยเฉพาะ California ที่ตอนแรกเราอยากไปเรียนนักหนา คือน่าเที่ยวมาก ๆ อยากไปอีกหลาย ๆ ครั้ง แต่เราไม่อยากอยู่เลย ด้วยเหตุผลเรื่อง ความอันตราย homeless และปัจจัยอื่น ๆ ที่พอไปดูเองจะรู้ว่าเหมาะกับ lifestyle เราไหม

คนชอบบอกว่าแต่เมลเบิร์นช้า และน่าเบื่อนะ ซึ่งก็จริง เพราะเราไปก็ยังเบื่อเลย ไม่มีอะไรให้ทำ CBD ก็เล็ก ๆ แต่เราเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย แบบ New York งี้ อยู่ได้ไม่เกิน  2 อาทิตย์ก็ปวดหัวแล้ว แต่ก็ไม่ชอบความบ้านนอกเกินไป เราว่าเมลเบิร์นเป็นอะไรที่กำลังดีสุด ๆ

Image result for University of Melbourne

Credit to: FutureLearn

UNIVERSITY: การเลือกมหาลัย

สำหรับบางคนอาจจะเลือกมหาลัยก่อนเมืองด้วยซ้ำไป แต่เราเลือกประเทศ และเมืองก่อน อันนี้แล้วแต่เลย สำหรับเราคือเลือกเมืองก่อน คือซิดนีย์ แต่ดันไม่มีโปรแกรม 2 ปีอะดิ เราตอนแรกอยากเข้า University of Sydney  แต่โปรแกรม Management นางแค่ปีเดียว เราเลยไม่เอาละกัน ที่สำคัญ University of Melbourne ที่เราไป ranking ดีกว่าด้วย เราเลยเออถ้าจะจ่ายเงินแล้ว งั้นก็เอาให้ดีที่สุดละกันเนอะ

หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้สนใจ ranking แต่สำหรับเรา เราค่อนข้างสนใจเรื่องชื่อเสียง และความมีเกียรติของสถาบันต่าง ๆ เราเป็นคนที่ได้ motivation ในการจะทำอะไรก็ตามจากความภูมิใจของสถาบัน และที่ ๆ เราอยู่

Image result for group of eight universities

Credit to: EduNirvana

ทั้ง University of Sydney และ University of Melbourne ต่างเป็นสมาชิกในกลุ่ม Group of Eight หรือมหาลัย Top 8 ของออส ที่มีชื่อเสียง และมีเกียรติ ทำให้ราคาในการศึกษามีความแพงขึ้นมาด้วย เหมือนเป็น Ivy League ของออสก็ว่าได้ แต่เราว่าไม่ได้เข้ายากเท่า Ivy League ของเมกาอยู่แล้ว555

COURSES/PROGRAMS​​ : การเลือกคอร์ส

อันนี้ก็สำคัญอีกเช่นกัน เราคิดอยู่นานว่าอยากทำ MBA  แต่ติดตรงที่นาวต้องการ  Experience อย่างน้อย  3 ปี ซึ่งอีเราก็รอไม่ไหว เราเลยดูอย่างอื่น เรารู้เลยว่าไม่อยากได้  Master of Arts แน่ ๆ เพราะเราได้  Bachelor of Arts ไปแล้ว เราเลยไปเจอบทความนี้ที่อธิบายว่าอะไรคือ Master of Management และมันแตกต่างกับ MBA ที่เรารู้จักกันอย่างไร

ตอนแรกก็คือสนใจ Master of Management in Marketing กับ Master of Management อย่างเดียว ปวดหัว และเครียดอยู่พอสมควร หลาย ๆ คนก็แนะนำไม่ให้ทำ Management อย่างเดียว เพราะมันค่อนข้างจับฉ่าย และยิ่งป.ตรีเราจับฉ่ายอยู่แล้ว ควรให้ป.โท เฉพาะและ เจาะลึกกว่านี้ เราก็แบบเออก็จริงนะ แต่คิดไปคิดมา Marketing  ก็มีเลขด้วยนิ ถึงจะไม่ยากมากก็ตาม แต่คือฮัลโหล?!  ไม่มีเลขน่าจะ safe ที่สุดนะ

นอกจากนั้น เราว่าเราชอบเรียนอะไร ๆ ที่จับฉ่าย หรือ General วะ เนื่องจากมันไม่ pressure หรือบังคับเราให้ทำงานแค่สายนั่น ๆ และด้วยเหตุผลนี้เราแฮปปี้มากที่จบอักษรมา เพราะเราเรียนอย่างมีความสุข เพราะเป็นทางที่ชอบ และจบมาเราไม่ได้โดนจำกัดว่าต้องทำงานสายนั้น ๆ เพราะสายภาษามันจับฉ่ายมากนั่นเอง จะทำอะไรก็ได้ที่มีภาษา ซึ่งก็เต็มไปหมด ใครจะไปรู้ว่าเราจะจบอักษร และมาทำ Digital Marketing Agency? และสำหรับคอร์ส Management เราสามารถเลือก Elective ของ Marketing ได้ เราเลยโอเคเลย

 

เราก็ว่าหวังว่าความคิดที่เรามี และปัจจัยต่าง ๆ ในการตัดสินใจเลือกจะไปเรียนต่อในครั้งนี้จะช่วยสร้างไอเดีย หรือแง่คิดใหม่ ๆ ไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่กำลังมีแพลนอยากไปเรียนต่อนะจ้าาา และเราหวังว่าทุกคนจะได้เข้าไปในมหาลัยที่ตัวเองชอบ และเจอคนดี ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ และพบเจอประสบการณ์ดี ๆ ด้วยยย

เรียบเรียนโดย ohmissannabella

Comments

comments