ฮาโหลลล หลังจากเริ่มเขียนบทความ เที่ยวอเมริกา กันไปบ้างแล้วเกี่ยวกับที่เที่ยว และที่กิน ก่อนที่จะเริ่มเข้าไปเมืองอื่น ๆ เราอยากจะแวะมาเขียนบทความหนึงเป็นการปูพื้น และปูความรู้เกี่ยวกับการ เที่ยวอเมริกา ประเทศนี้เค้าไม่เหมือนหลาย ๆ ที่ ๆ เราไป เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยไป เพราะมันไกลมากกก แต่อย่างเราคือเคยไปบ่อยแต่ตอนเด็ก ๆ ตอนโตมาคือแทบไม่เคยไป ยิ่งโตยิ่งไม่มีเวลาไปเพราะมันไกลเลยไม่มีเวลาหยุดงาน และที่สำคัญคือไม่มีเงินด้วย 5555  หลาย ๆ อย่าง เนื่องจากไปเองก็จะไม่ได้สบายเหมือนไปกับทัวร์ โดยเฉพาะความแพงของอาหาร และการทิปที่เราคิดว่าเป็นอะไรที่เครียดมากกกก ให้เท่าไหร่ดีวะ ต้องให้เยอะขาดนี้เลยหรอ ไม่ให้ได้ไหมวะ และอีกอย่างที่ก็เครียดมากเช่นกันคือ ถ้าเกิดไม่ขับรถละ จะเที่ยวไงอะ เราเลยอยากมาแชร์ความรู้ที่เราได้มา และเอามาเขียนเล่าให้ฟังกันเนอะ 🙂

Review Flight: Asiana Airlines

เริ่มต้นการ เที่ยวอเมริกา ด้วยการซื้อตั๋ว ทริปนี้เราซื้อจากสายการบิน Asiana Airlines ตอนแรกคือคิดอยู่ว่าจะไป  Korean Air ดีไหม เพราะเคยนั่งไป และชอบ แต่คิดว่าอยากลอง Asiana เหมือนกัน เพราะได้ยินมาว่าดี ที่สำคัญนางอยู่ในเครือเดียวกับการบินไทย หรือ Star Alliance เราเลยอยากเก็บไมล์ อันนี้อยากให้ทุกคนระวังนิดหนึง คือเราจองตั๋ว Class ที่ในที่สุดมารู้ว่าแลกไมล์กับการบินไทยไม่ได้ ซึ่งเสียดายมากกกก  Class ที่หมายถึงไม่ใช่  Economy/Business Class นะ แต่หมายถึง Booking Class ว่าเราซื้อตั๋วแบบไหน ตั๋วเราน่าจะถูกมั้งเค้าเลยไม่ให้5555

 Flight Ticket Price

เราซื้อตั๋วไปวันที่ 13/5/2018 และเดินทางวันแรก 29/9/2018 พูดง่าย ๆ เลยคือซื้อตั๋วก่อนประมาณเกือบครึ่งปี ได้ตั๋วถูกกก ไม่ได้ใช้โปรอะไรทั้งสิ้น เปิดดูใน Skyscanner เนี้ยละ ไปกลับ 27150 บาท เท่านั้น!

 Flight Details

เราไปแบบ Multi-City ไปลงที่ New York John F. Kennedy Airport (JKF) และขากลับคือออกจาก Los Angeles International Airport (LAX) ขาไปกับขากลับต่างกันแค่ 1 ชั่วโมง ตอนแรกเราก็งง ๆ ว่าได้ไงวะ ในเมื่อเราอยู่ไกลจาก Los Angles ตั้งเยอะ แต่เพิ่งรู้ว่าอ่อ เครื่องบินไม่ได้บินข้าม Pacific เหมือนไป Los Angeles  แต่ขึ้นขั้วโลกเหนือและไปลง  New York จ้าา

เราไปลง Transfer ที่โซล ประเทศเกาหลีใต้ สนามบิน Incheon ของเรารอไม่นาน ไม่เกิน 2 ชั่วโมงงง

Layover

ขอเพิ่มเติมนิสหนึง คืออันนี้ลืมอธิบายไปเลย เนื่องจากมีคนถามเค้ามาว่าจะนั่ง flight คล้าย ๆ กัน และกลัวเรื่องการต่อเครื่องว่าจะมีปัญหาไม่ทันบ้าง หรือกระเป๋าย้ายจากเครื่องหนึงไปอีกครึ่งหนึงไม่ทัน จะบอกว่าเราก็คิดมากเหมือนกันตอนนั้น และส่งอีเมลไปถามด้วย

เอาจริง ๆ นางพูดงี้ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะเคยเจอเรื่องไม่ดีมากับสายการบิน Turkish Airline ขนาดตอนนั้นต่อเครื่องตั้ง 3 ชั่วโมง กระเป๋ายังตกค้างที่สนามบิน Instanbul และไม่มาพร้อมกับเราที่กรุงเทพ แต่เค้าก็ดีนะ มีการมาส่งกระเป๋าถึงบ้าน ตอนนั้นเข้าใจว่าต้องมารับเองที่สนามบินเว้ย แต่นางจะมีบริการส่งให้ถึงบ้าน หรือโรงแรม ซึ่งสะดวกมาก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีเวลาไปกลับสนามบิน และคือมันควรจะเป็นยังงั้นด้วย เพราะสายการบินต้อรับผิดชอบที่ไม่ดูแลกระเป๋าเรา และตอนนั้นคือกระเป๋าเรามาส่งแล้วพังด้วยจ้า คือล้อหายไปหนึงตามรูป

แต่นางก็ซ่อมให้นะจ้าาา ซึ่งมันดีมาก เลยโอเคยอมใจ ดีด้วยละที่มาพังที่ไทยไม่งั้นซวยมากอะ ไม่รู้จะเดินทางไงเลยกับกระเป๋าพัง ๆ แบบนี้

กลับมาต่อกับ  Asiana คือนางก็ทันจริง ๆ จ้า และไม่มีการพังอะไรใด ๆ ยอมในความ efficient ของสาบการบินเกาจริง ๆ เอาไปเลย 5 ดาว

 Food on Board

เราว่าอาหารอร่อยดี มีเป็นข้าวยำเกาหลีด้วย และซุป Miso เรากินหมดทุกมื้อ มีแต่มื่อสุดท้ายขากลับที่นอนแบบไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้กินกับเค้า

 

ส่วนเรื่อง Entertainment คือดีเลย ขากลับเราดูหนังจบ 4 เรื่อง 555 ตกลงไม่ได้นอนนะจ้ะ และเราว่ามีที่เยอะอยู่ สำหรับคนนั่งริมหน้าต่างก็ไม่รู้สึกอึดอัด เพราะเหมือนตัวเครื่องมีความโค้งออก ทำให้มีเนื้อที่ให้หายใจหน่อย ไม่ใช่ติดอยู่ตรงนั้น แต่ยังไงก็ไม่แนะนำให้นั่งติดหน้าต่างไม่ว่าจะเป็นคนไม่ฉี่บ่อยขนาดไหน เรารู้สึกเกรงใจป้ากับลุงที่นั่งข้าง ๆ เรามาก แต่เค้าก็น่ารักมากก ขากลับเราเลยเปลี่ยนใจ เปลี่ยนไปนั่งริมทางเดิน คือตกลงขากลับฉี่ไปเกือบ 7-8 รอบ

Packing Tips

เพราะเป็นไฟล์ทบินที่ยาว เรารู้สึกว่าเราต้องเตรียมตัวไปดี ๆ ยิ่งไปคนเดียวด้วย คงไม่มีคนที่ขออะไรได้ ก็เลยอยาก make sure ว่ามีทุกอย่างพร้อม  ถ้าให้เราแนะนำเราขอแนะนำหมนแบบนี้ แบบที่เห็นขายใน Muji แบบไม่ต้องซื้อแพงจาก Muji ก็ได้ แต่เอาแบบนี้ เพราะมันสบายมากกก เรารู้สึกว่าไปที่ไหนก็นอนหลับตลอด

Image result for หมอน muji

และก็เอาหูฟังตัวเองไปที่มี headphone jack เพื่อใส่ฟังดูหนังบนเครื่องได้ เพราะรูนางอาจจะมี  2 รู แต่เราใส่รูเดียวก็พอ  ไม่ต้องไปซื้อ adaptor อะไรให้วุ่นวาย เราว่าดีกว่าใช้ของเค้า

Image result for headphone jack

Related image
ส่วนของที่อาจจะเป็นไอเดียให้คนสำหรับ long-haul flight เราแนะนำ:

  • ให้ ซื้อขวดน้ำก่อนขึ้นเครื่องไป พอหมดให้แอร์เติม เพราะเราเบื่อมากที่แอร์ให้น้ำเป็นแก้ว และมันหมดเร็ว ร่างกายต้องกินน้ำเยอะ ๆ จะได้ไม่ปวดหัว หรือ jet lag ตอนถึงที่หมายนะ ยอมฉี่บ่อย ๆ เถอะเชื่อเราา
  • ให้ handcream, ลิปบาร์ม และพวก mask หน้าแบบ hydrate ไป เราว่ามันช่วยจริงๆนะ ถ้าไม่อยากทำให้คนในเครื่องกลัวก็เอาไปแบบที่ทาแล้วทิ้งไว้ได้ หรือไม่ต้องล้างออก
  •  ทิชชู่เปียก เพราะบางครั้งจะได้ไม่ต้องเดินออกไปล้างมือ และเราว่าเอาไว้เช็ดหน้าคือดีงาม เพราะน้ำในห้องน้ำเครื่องบินคือโคตรสกปรก
  • รองเท้าเดินในบ้าน แบบบาง ๆ ไม่ต้องเอาหนา เพราะจะให้ใช้แล้วทิ้ง บางเครื่องมีให้บางเครื่องไม่มี ถ้าไม่อยากเสี่ยง เอาไปก่อน แต่ลองขอได้เสมอ
  • ที่ปิดตา หรืออุดหู สำคัญมากก ไม่ต้องห่วงเรื่องเด็กร้องไห้เลยอะ ขอแค่อย่าขี้แตกพอ ไม่รู้จะอุดจมูกไง
  • ยาสีฟัน และแปรงสีฟัน ไม่ก็น้ำยาบ้วนปากเล็ก ๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบีบ มาแปรง บ้วนน้ำล้างหลาย ๆ รอบ ทำให้เลอะไปหมด
  • ยายอดตา หรือน้ำเกลือขวดเล็ก ๆ เอาไว้ล้างตา
  • เอาเสื้อผ้าไปเผื่อสัก 2 วัน (ถ้ามีที่) เพราะอย่างเรา เคยกระเป๋า transfer ไม่ทัน ยังอยู่ที่ ๆ ไปจอดเครื่อง ทำให้ไม่มีเสื้อผ้าอยู่  2-3 วัน แต่ยังดีที่เป็นขากลับ อยู่บ้านเลยไม่มีปัญหาอะไร ถ้ามีที่ basic จริง ๆ ก็จะสบายใจไปบ้าง ที่สำคัญควรมีกางเกงในเผื่อไว้ 2-3 ตัว

Immigration Process

ตอนแรกคือกลัวมีปัญหามาก เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียว แต่คือไม่ได้ขอวีซ่าครั้งนี้ เพราะมีแบบ 10  ปี ที่ไปกับครอบครัวมาก่อน ซึ่งดีมาก แต่การตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้แย่อย่างที่คิด อาจจะคนเยอะจริง และช้า แต่ไม่ช้าเท่าสนามบินดอนเมืองแน่ๆ 555

ก่อนที่จะเจอเจ้าหน้าที่ เค้าจะแยกเราเป็นประเภท visa เสร็จก็จะมีการถามว่าเคยมาเมกาหรือยัง ถ้าเคยก็ไปอีกแถว ถ้าไม่เคยก็อีกแถว น่าจะเพื่อถามคำถามเพิ่ม เสร็จเค้าจะให้เราต่อแถวไป scan passport และ visa ของเรา เพื่อที่จะเจ้าใบนี้มา

 

เราโชคดีมาก เพราะถ้าช้าอีกนิดเดียว คือคนต่อเยอะมากกกกก เรามาตอนที่มันเริ่มจะเยอะแต่ยังไม่เยอะขนาดนั้น แนะนำว่าถ้าลงสนามบินใหญ่อย่าง JFK  หรือ LAX ให้ไปฉี่หลังจากผ่านตม.แล้ว เพราะคนเยอะจริง ๆๆๆ อั้นได้อั้นไปก่อน

และทางที่ดีควรปริ้นเอกสารจองโรงแรม และ flight ต่าง ๆ ให้ครบหมดทุกอย่าง ของเราก็ปริ้นมา แต่คือเค้าไม่ได้ขอดูอะไรเลย ถามแค่มาอยู่กีวัน แค่นั้นเลย

Tipping Culture

หลาย ๆ คนกลัวการทิปที่เมกามาก ซึ่งเราเข้าใจดี เพราะมันเป็นอะไรที่แบบ ต้องทำไงวะ และแปลกสำหรับเรา ไป ๆ มา ๆ จะเริ่มมีความโกรธ และเสียดายเงิน เพราะทิปที่เมกา ยิ่งเมืองหลัก ๆ อย่าง New York คือแพงมากกกก อย่างน้อย ๆ แบบ basic เลยคือ 20%  ถ้าไม่ค่อยชอบ service นี้ก็ 15% เลยนะจ้ะะะ บางที่จะมีเขียนประกอบไว้อยู่แล้วว่าเท่าไหร่ เราไม่ต้องคิดเอง แต่ส่วนใหญ่ก็คิดเองอยู่แล้ว เพราะตกใจในตัวเลข5555

สมุตติเราจ่ายแบบ credit card เราก็จ่ายปกติเลย ยื่นการ์ดให้นาง และนางก็จะเอามาให้เราเซ็นต์ชื่อ พอเซ็นต์เสร็จแล้ว เค้าก็จะเอาบิลมาให้เราอีกทีพร้อมปากกา อันนี้คือการเติมทิป เพื่อที่เค้าจะคีย์เข้าเครื่องใหม่ และตัดบัตรเราเพิ่ม

แต่ถ้าเป็นเงินสด ก็ง่ายๆเลยคือบวกทิปเข้าไป จะ  15 หรือ 20% ก็ตาม ส่วนใหญ่เราแบบปัดขึ้นไป คือ 68 ก็เป็น 80 ไรงี้ บางครั้งอาจจะ 75 ด้วย ไม่ถึง 15% เพราะเราไม่ไปประจำอยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกกดดันว่าต้องให้เยอะ นอกจากเค้าจะบริการน่ารักจริง หรืออาหารอร่อยจริง

แล้วถ้าไม่มีแบงค์ละทำไง ก็ขอแลกแบงค์กับเค้าได้เลย แบบมีอยู่ $100 ก็ขอเค้า $20 5 ใบ เสร็จค่อยใส่และเดินออก หรือบางครั้งมีแบงค์อยู่แล้วก็ไม่ต้องรอเค้าทอน หรือบอกเค้าเลยว่า keep the change ให้เค้ารู้ว่าที่เหลือคือทิปนะ ง่ายนิดเดียววว แต่ไม่เคยจะชิน หรือไม่เจ็บใจเลยเพราะ +tax   ก็แพงอยู่แล้ว

Internet

เพื่อนเราซื้อ Sim2Fly จาก AIS ในราคา 899 บาท พร้อมเติมเงินเผื่อไปอีก 299 ซึ่งเราเองก็เคยใช้ตอนไปเที่ยวออสเมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมา คือถ้าไม่ใช่พวกโรคจิตใช้เน็ตเยอะเหมือนเรา เราว่าสะดวกมากกก เพราะขนาดต่อเครื่องอยู่เกาหลีก็ยังใช้ได้ ที่สำคัญถ้ามีปัญหาก็คือโทรหา AIS ได้ฟรีตลอดเลยด้วย สะดวกมาก เพราะตอนที่เพื่อนเราจะกลับ และเราจะไป mexico ต่อ เราก็ขอ simcard เพื่อนมาใช้ เนื่องจากอยากมีเน็ตใช้ตั้งแต่เครื่องลง และคือเจ้า Sim2Fly ครอบคลุมหมดเลยจ้า Simcard ที่เราซื้อที่เมกาคือถ้าไม่อยู่ถึงเดือนจะไม่คุ้มเลย แล้วเราอยู่แบบเกินเดือนมาแค่ 5 วัน เลยไม่อยากซื้อ

แต่อย่างเราไปนาน และใช้เน็ตเยอะ เราแนะนำให้ไปซื้อที่นั้น และอย่าไปซื้อที่สนามบินนะ รอไปซื้อที่ร้านในเมือง ไม่งั้นก็บอกที่ไทยไว้ก่อนว่าขอเปิด Roaming สักวัน เพื่อที่จะได้หาโรงแรมอะไรเจอ และไม่รู้กลัวหลงระหว่างลงเครื่องจนไปซื้อ simcard

ที่สนามบินทุกเมืองที่ไปมีเน็ตฟรีให้ใช้หมด เลยไม่ต้องเป็นห่วง แต่อาจจะกลัวๆ หน่อยตอนออกมาจากสนามบินและไม่มีเน็ต

Prepaid Simcard แบบที่เราซื้อเป็นของ T-Mobile ราคา $50 เท่านั้น ก็ประมาณ 2000 บาทใช้เน็ตได้ unlimited เลย และเป็นเน็ตเร็ว LTE สามารถโทรได้แบบไม่จำกัด จริง ๆ เราก็ไม่ได้ใช้โทร แต่มีเบอร์ที่นั้นคือสะดวก เพราะใช้ในการจองร้านอาหารอะไรแบบนี้ได้

 

Electricity and Plugs

สำหรับเรื่องปลั๊กไฟ เราอยากแนะนำว่าแทนที่จะเอาแบบ universal adapter ไปแบบใหญ่ๆ เหมือนรูปขวาสุด เราแนะนำว่าเอาปลั๊กแบบตรงกลาง ไปจะดีกว่า เพราะปลั๊กของอเมริกาจะเป็นแบบแบนเหมือนของไทย อย่างที่ชาร์จ iphone ก็ไม่ต้องเปลี่นรหัวเลยด้วย ถ้าเอาแบบอันตรงกลางไปมันจะสะดวกกว่าเยอะ เพราะจะได้ไม่กินเนื้อที่กระเป๋า เนื่องจากแบบ universal มันแอบอ้วน และที่สำคัญคือพอติดกับผนังแล้วชอบไม่เกาะอยู่ เหมือนหนักเกินไปเลยตกลงมา

Image result for electricity usa socketImage result for electricity usa socket adaptorImage result for universal adaptor

 

Domestic Travels

Amtrak Pacific Surfliner

ด้วยความที่เราไม่ได้ขับรถ ทำให้ไปไหนมาไหนต้องคิดเยอะนิสนุงว่า นั่งเครื่องดีไหม และมีอะไรให้นั่งบ้างละ ก็เลยมาเจอ Amtrak คือตอนแรกๆเลยจะนั่งรถบัส Greyhound ไป San Diego เพราะถูกมว๊ากก ราคาไม่เกิน 15USD One-way แต่หลาย ๆ คนบอกว่ามันค่อนข้างสกปรก อันตราย ชอบมีพวกคนสติไม่ดี และ homeless ขึ้นไปนอน ซึ่งเราจริงๆก็ไม่อะไรเพราะไปกับเพื่อน นั่งกับเพื่อนได้ แต่นั่ง 2-3 ชั่วโมง ไม่น่าแย่ขนาดนั้น แต่ทั้ง host Airbnb และเพื่อนบอก แกลองนั่ง Amtrak Pacific Surfliner สิ เพราะทางมันเป็น scenic route จะเห็น Pacific coast สวย ๆ คือเราชอบเดินทางด้วยรถไฟอยู่แล้ว เพราะมันสบายกว่าจริง ๆ ด้วยที่นั่งใหญ่กว่า ไม่ต้องเผื่อเวลา check-in กระเป๋านู้นนี้ และสถานนีรถไฟอยู่ในตัวเมือง ก็เลยเอาเว้ย ลองก็ได้เลยจองทั้งไปและกลับเลย

สำหรับตั๋วไป-กลับ Los Angeles และ San Diego จะอยู่ที่ราคา $70 หรือ 2400บาท ไปกลับ ถือว่าแพงกว่ารถบัสเยอะมว๊ากก แต่อยากลองก็เลยโดนไปนะจ้า ขาไปเราว่าโอเคมากๆ เพราะไม่มีคน นั่งสบายสุด อย่างที่เห็นตอนแรกไม่เข้าใจว่าอะไรคือ unreserved coach ตกลงมันคือนั่งไหนก็ได้ ถ้าไม่มีที่นั่งก็ต้องยืนนะจ้ะ ไม่แย่มาก เพราะเค้าหยุดหลายสถานี ทำให้มีคนออกเรื่อย ๆ

ที่นั่งใหญ่ สบาย และมีที่ชาร์จแบต ห้องน้ำก็สะอาดดด และมีให้ปรับที่นั่งด้วยนะ คือนอนสบายเลย อาจจะไม่ได้แบบนอนราบ แต่ก็สบายอยู่ดี และยังมีเน็ตให้ใช้ฟรี

แต่ขากลับคือเกิดเรื่องที่ทำให้เสียความรู้สึกมากกก เพราะนอกจากรถจะสายมากๆๆแล้ว นางยังบอกแบบ last minute สุด ๆ คือ 10 นาทีก่อนเวลาที่ควรจะได้ขึ้นรถ เราต้องได้ขึ้น 10.50น. นางส่งมาบอก 10.36น. และสายตั้ง 2 ชั่วโมง คืองง

คือต้องคุยกับคนแถงนั้น ถึงจะรู้ว่านี้เป็นเรื่องปกติ และให้เข้าไปอัปเดตเหตุการณ์กับ twitter ของนาง ที่พอเราไปอ่านถึงรู้ว่าเชี้ย มัน delay บ่อย และ delay ทีเคยมีแบบถึง 5 ชั่วโมงก็มี วัทเดอะะะ

คือดีนะที่นางบอกให้อ่าน twitter และขึ้นอีกรถหนึง เลยแบบสายประมาณชั่วโมง เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าให้อ่าน twitter และตามอีเมลคือได้ข่าวว่าสายต่อนะจ้ะ

เพราะรถทั้ง delay และมีเกม baseball ที่แข่งใน LA พอดี รถเลยคนเยอะมากกก คนคือบอกว่ารถติดมากเลยหนีมาขึ้นรถไฟ เพราะมีแข่ง baseball ที่ยิ่งใหญ่ของซีซั่นระหว่าง Dodger กับ Red Sox คือเต็มแบบที่ว่าคนต้องยืนกันเลยทีเดียว เข้าใจละทำไมเค้าบอกว่า public transportation เมกาคือแย่ และทำไม่ขึ้น555 สงสารคนที่ต้องไปขึ้นเครื่องบิน และไม่รู้จะให้ใครรับผิดชอบเลย

สรุปคือไปครั้งเดียวให้เป็นประสบการณ์ ถ้าไม่ซวยเหมือนตอนขาไปคือดี แต่ถ้าซวยคือซวย ควรแก่การเผื่อเวลา อย่า plan อะไรมาก เหมือนเรา วันนั้นคือเสียวันหนึงไปเลย เศร้ามาก เพราะเป็นวันสุดท้ายของเพื่อนก่อนกลับ ว่าจะเที่ยว LA อีกสักวัน คือไม่ทันไรก็พระอาทิตย์ตกดินแล้วจ้า

บินได้บินเลยยย บินกับ Southwest นะ

เพราะมันสบายและรวดเร็วที่สุดถึงแม้จะต้องไปก่อนเวลาขึ้นเครื่องก็ตาม เรานั่งเครื่อง domestic flight หลายครั้งเลย ไม่ว่าจะเป็น

  • New York ไป  San Francisco
  • San Francisco ไป Las Vegas
  • Las Vegas ไป Los Angeles

คือไม่ยอมขับรถเลยจ้าา และไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าหนักต้องจ่ายตังนะ แทนที่จะนั่งกับ UNITED หรือ DELTA สำหรับเดินทางใน west coast เราแนะนำให้เข้าไปดู Southwest เพราะนอกจากนางจะราคาดีแล้ว ยังสามารถ เปลี่ยนเวลา และย้ายวันได้แบบไม่ต้องเสียเงิน และอีกอย่างที่ชอบมากๆ คือนางให้โหลดกระเป๋าฟรี 23 กก. จ้าาา คือดีอะ จ่ายทีเดียวคือหมดห่วง!

Public Transportation

Ride Sharing is your best friend

ไปไหนมาไหนก็ไปกับ Uber เพราะไม่ขับรถ ดีอย่างหนึงคือไม่ต้องหาที่จอดเลยยย และเราใช้แบบ Express POOL ที่ทำให้ถูกขึ้นอีกเยอะ

Express POOL

  • Express POOL is a new shared ride option that allows you to join other users with similar routes on the same trip and share the cost of the trip.
  • We take a few moments to find riders near you for fewer detours en route.
  • Pickup and dropoff at Express spots
  • Spots change based on popular routes at the time you request and you’ll see walking directions to the best spot.

พูดง่ายๆ  คือเหมือนนั่งรถ Shuttle Bus แต่เป็น  Uber ที่นอกจากจะนั่งรถแชร์กับคนอื่น เรายังต้องเดินไปหารถด้วย รถจะไม่มารับเราข้างหน้า หรือจะพาเราไปถึงที่ นี้ก็เพื่อการประหยัดเวลา  ของทั้งเราและคนอื่นที่นั่งมากับเรา ถึงแม้ต้องมีเดินอีกนิด แต่ไม่มาก เพื่อให้มัน smooth และไม่ไปรบกวนกับ route คนอื่น ๆ ที่นั่งมาด้วย ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเราก็ตาม เราอาจจะมี drop-off คน หรือ pick-up คน ระหว่างทาง และเราสามารถเรียก  Express POOL ได้ถึง 2 คน เรากับเพื่อน แต่ถ้ามากกว่า 2 คนก็รถเต็มนะจ้ะ ไป Uber-X เท่านั้น

Related image

Credit: hudsoncountyview.com

 เราว่ามันดีมาก แต่อาจจะต้องเผื่อเวลาเยอะนิสหนึง เพราะเราต้องไปส่ง และรับคนอื่น ถ้าเกิดจะไปขึ้นเครื่อง เราแนะนำให้ใช้ Uber X  ไปเลย เผื่อที่กระเป๋าไรงี้ด้วย แต่จริง ๆ  Uber  ฉลาดนะ คือถ้าเราจะ Pool ไป airport แล้วนางก็จะรู้ และเอาคนที่จะไปสนามบินเหมือนกัน แต่นางจะ limit ให้คนละกระเป๋าใหญ่เท่านั้น ทางที่ดีเอาให้สบายใจคือเหมารถไปเลยดีกว่า ถ้ามามากกว่าคนหนึง

Via

อีกอันที่อยากมาแนะนำถ้าไป ​New York คือแอปที่ชื่อว่า Via คือสะดวกมากถ้าจะเที่ยวอยู่ในเกาะ Manhattan เพราะถ้าอยู่ในเกาะนี้จะราคา $5 เป็น  Flat rate นะจ้ะ

Image result for via

New York Metro

เป็นอะไรที่อ่านกีทีกีทีก็งง แต่จะให้อธิบายง่าย ๆ เลยก็คือ  Metro Card ไม่ว่าจะไปใกล้ไกลกีสถานีก็ตาม ราคาจะคิด Flat Rate เป็นครั้งละ $2.75 ทำให้หลาย ๆ คนที่เห็นว่าประมาณ 1-2 สถานีเลยเลือกที่จะเดินเอา เราว่าเป็น subway system ที่ไม่ยากเลย แค่ตาม Google Map รัว ๆ

ตอนนั้นเราจ่ายแบบ 7-Day Unlimited Pass = $32 คือถ้าเอา 32 มาหารกับ 7 วันจะได้วันละ $4.75 แปลว่าถ้าวันหนึงใช้ metro มากกว่าแค่ 2 ครั้งก็คุ้มแล้วน้ะจ้ะ  (+1$ fee สำหรับค่าบัตร) ซื้อได้ทุกตู้น้าา

Image result for new york metro unlimited

Credit: matraqueando.com.br

ถ้าใครอยู่ไม่ถึง 7 วัน แต่คิดว่าน่าจะใช้ Subway มากกว่า 11 ครั้งใน trip ตัวเอง เราว่าก็คุ้มแล้ววว เราชอบที่แบบไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะเงินหมดหรือยัง ขี้เกียจมานั่งเติมอะเนอะ

Image result for new york metro unlimited

 Airtrain: JFK to NYC

จากสนามบิน JFK เรานั่ง Airtrain($5) มาลง Jamaica Station ที่เชื่อมกับ NYC Subway (ต้องซื้อ Subway Card) ที่จะพาเราเข้าตัวเมือง

อย่างที่พูดคือไม่ว่าจะกีสถานีใกล้ไกล  Subway ก็จะ $2.75 flat rate ทำให้การเข้าตัวเมืองครั้งนี้อยู่ที่ราคา ไม่เกิน $8

มันจะเหมาะมากถ้าโรงแรมอยู่ใกล้สถานี และกระเป๋าไม่ได้เยอะ ไม่ได้หนักมาก หรือแบบไม่ลำบากที่จะถือขนาดนั้น เพราะก็ต้องมีขึ้นบันได ลงบันไดเป็นเรื่องธรรมดา ลองดูสถานีดี ๆ ว่าจาก Jamaica Station มันต้องเปลี่ยนสายเยอะไหม ถ้าต้องเปลี่ยนเยอะ และมาหลายคน เราว่านั่ง Uber เถอะ น่าจะสะดวกกว่า

แต่เรามาคนเดียวเราเลยรู้สึกว่าเรานั่งยังงี้น่าจะคุ้มกว่า เพราะบ้านเพื่อนเราอยู่ติดสถานีเลย เพื่อนเรามาเจอเราที่ Jamaica Station จะได้ไม่ต้องจ่ายตัง $5  แต่จ่ายแค่ $2.75

Image result for airtrain jfk

วิธรการหา Airtrain ไม่ยากเลยจ้าา ตามป้าย  AirTrain แบบนี้มาเรื่อย ๆ ตอนออกจากรับกระเป๋า

อย่างที่เห็น เราจะต้องผ่าน Terminal ต่าง ๆ และไม่ได้ลง Federal Circle นะจ้ะ แต่ลงที่ Jamaica Station  ที่จะต่อกับ NYC Subway

 

ตามป้ายเลย ออกไปจ่ายตังค่า AirTrain  และซื้ออีกบัตรสำหรับ Subway นะ

 แค่นี้เลยย ง่ายยยย และไม่แพงด้วยย

สำหรับทริคเที่ยวเมกาที่เราก็คิดได้ก็จะมีประมาณนี้ ถ้ามีอีกเดียวจะมาเพิ่มนะ แต่คร่าว ๆ ก็มีอยู่เท่านี้ที่อยากจะปูพื้นก่อนไปเที่ยว สำหรับเรา เราว่าเที่ยวเมกาไม่เหมือนยุโรปจริง ๆ อะไร ๆ ก็ต้องไปเรียนรู้กันใหม่555 งั้นอย่าลืมเปิดใจ และอ่าน  ทำ research กันไปเยอะ ๆ นะ 🙂

 

เรียบเรียงโดย Ohmissannabella.com

Comments

comments