
วันนี้เราจะมาอธิบายขั้นตอนการทำ “วีซ่านักเรียนออสเตรเลีย” แบบละเอียด ล่าสุดที่เพิ่งทำสด ๆ ร้อน ๆ สำหรับปี 2018 ที่น่าแปลกใจมากว่าพอหาในเน็ตแล้วไม่ค่อยมีให้อ่านเท่าไหร่ pantip ก็ไม่มีด้วย เมหือนแต่จะมีวีซ่าออสเตรเลียแบบท่องเที่ยวเท่านั้น เราเข้าใจมาตลอดว่าต้องมีข้อมูลเยอะแน่ ๆ เนื่องจากมีเด็กไทยไปเรียนเยอะ แต่พอเค้าจริง ๆ ค่อนข้างหลงทาง ยิ่งทำเองไม่ผ่านเอเจนซี่ด้วยแล้ว ยิ่งงงๆ แต่ได้เร็วมากจริง ๆ แบบตกใจ แน่นอนว่าการทำ วีซ่านักเรียนออสเตรเลีย มีเอกสารมากมายที่เราต้องให้เค้าดู และที่สำคัญคือต้องทำ online หมดเลย VFS ไม่รับทำนะจ้ะ เค้าแค่เป็นที่ให้เราไปแสกนนิ้วมือ กับถ่ายรูป (Biometric) เท่านั้น เรามาเริ่มดูกันเลยว่าเอกสารมีอีกบ้าง
Scannable
สำหรับเอกสารในการทำวีซ่า อันนี้จะเป็นสำหรับคนที่อายุ 18 ขึ้นไปนะคะ ถ้าเกิดอายุน้อยกว่านี้จะมีเอกสารเพิ่มเติมเช่น Parental consent และ Welfare Arrangement ถ้าใครอยากเข้าไปอ่านแบบละเอียด สามารถเข้าไปอ่านได้ในเว็บรัฐบาลได้เลย
อีกอย่างที่สำคัญมากคือด้วยความที่เราต้องทำทุกอย่าง online เราอาจจะมีเอกสารตัวจริง แบบกระดาษ เราต้อง scan ไม่ก็ถ่ายรูปดี ๆ ชัด ๆ เพื่อ upload ในเว็บของเค้านะ แนะนำเลยสำหรับคนไม่มี scanner เหมือนเราให้ใช้ app ฟรีชื่อ Scannable คือมันดี และเปลี่ยนชีวิตมากจริง ๆ เนื่องจากมันจะสามารถ detect เอกสารเราได้เลย และจะปรับทุกอย่างให้เหมือนเป็นไฟล์ scan ทำให้แสง หรือสีดูชัด และ uniform ขาว-ดำ คอชีวิตดีมาก ได้เป็นไฟล์รูปมาก็ส่งเข้าคอมด้วย airdrop/email แค่นี้เองงง ไปหาโหลดกันซะ จะได้ไม่ต้องลุ้นว่ารูปจะผ่านไหม เพราะมันตรงตาม standard เค้าอย่างแน่นอน!
Credit to: medpagetoday.com
ImmiAccount
เริ่มด้วยการเข้าเว็บ online.immi.gov.au/lusc/login ได้เลยเพื่อ Create an ImmiAccount เอกสาร และทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมากรอก และใส่ในระบบในเว็บนี้นะ อันนี้จะเหมือนเป็นช่องทางในการติดต่อเรื่องวีซ่ากับประเทศออสเลย
นี้เป็น step-by-step ตามแต่ละหน้า พอทำการสร้าง ImmiAccount เสร็จ ก่อนอื่นเลย เราจะสามารถกรอกรายละเอียดใน ImmiAccount ได้ เราต้องได้รับเอกสาร Confirmation of Enrolment (CoE) จากทางมหาลัยก่อน เพราะเค้าจะถามขอเลขรหัสตลอด เพื่อจะได้เอกสารนี้เราต้องทำการจ่ายมัดจำกับมหาลัยในเวลาที่กำหนด การจ่ายมัดจำจะมาหลังกับการ accept offer นะ เพื่อเป็นการยืนยันจากมหาลัยว่าเราได้ทำการ enroll ในมาลัยนี้จริง course ไหน เป็นเวลากีปี
อันนี้เป็นตัวอย่างของ Confirmation of Enrolment (CoE)
เมื่อสร้าง ImmiAccount แล้วก็กรอกรายละเอียดโลดดด อันนี้เป็นตามที่เรากรอก คือจริง ๆ อยากจะลงรูปให้ทุกหน้า แต่ดันกรอกข้อมูลส่วนตัวไปหมดแล้ว เลยขี้เกียจมานั่ง censor เราว่าไม่มีคำถามอะไรยากมาก ที่มีเดียวอธิบายข้างล่างว่าเราตอบอะไร มีงงๆบ้าง แต่ตอบไปตามที่คิดว่าโอเค มันก็ผ่านนะ55 อย่างของเราไม่ได้ให้ agent ทำ และไม่มีใครในครอบครัวไปส่ง เลยอาจจะไม่เหมือนคนอื่น ๆ ให้อ่านดูดีกันนะ
เราว่าตรงที่เราไม่ค่อยแน่ใจคือ หน้าที่ 14/25 ที่ให้เขียน Genuine temporary entrant เราก็เลยไปตามหาดูว่า sample ของคนอื่น ๆ เป็นยังไง ตกลงได้เรื่องว่า คืออธิบายว่าจะเข้าไปประเทศไปทำอะไรนั่นเอง มีการอธิบาย background เราหน่อย ๆ ส่วนใหญ่ให้อธิบายความพร้อมในด้านการเงิน และการศึกษา
ในการให้ข้อมูลนี้ ควรใส่รายะละเอียดเรื่องตามนี้ และต้องการเอกสารเพื่อประกอบด้วย:
- ชื่อคอร์ส (CoE)
- ชื่อมหาลัย (CoE)
- เดือนที่เริ่มเรียน (CoE)
- เหตุผลว่าทำไมต้องเรียนคอร์ส หรือมหาลัยนี้ ความจำเป็นใด ๆ ก็ว่าไป
- จบมาจากมหาลัยไหน (Transcript จากมหาลัยที่เรียนป.ตรี)
- ปีที่จบ (Transcript จากมหาลัยที่เรียนป.ตรี)
- ชื่อตำแหน่ง (เนื่องจากออกจากที่ทำงานแล้ว เลยส่งให้แค่ payslip เฉย ๆ ไม่ได้ให้บริษัทออกจดหมายอะไรให้)
- ที่ทำงาน
- ระยะเวลาการทำงาน
In order to cover my tuition and living expenses, _______ will be the one helping me financially. I will be providing a bank guarantee letter to show his sufficient fund. Noted that he will be providing _____ each month for living expenses that haven’t include the cost of renting an apartment studio of _______ per week.
- สำหรับกเรื่องการเงิน เราจะใช้เงินของใคร (Bank Guarantee และ Bank Statement)
- จะใช้เงินเท่าไหร่ต่อเดือน รวมค่าอยู่ไหม ถ้าไม่รวม ค่าอยู่เท่าไหร่ (Bank Guarantee และ Bank Statement)
มาต่อกันกับอีกคำถาม หน้าที่ 20/25 คืออีกหน้าที่ตกใจเป็นคำถามที่ทำเราเครียดเลย เนื่องจากไปเที่ยวเยอะมากกกก และจำไม่ได้ บางที่ก็ไม่ได้ stamp ใน passport ว่าออกจากประเทศด้วย และมันคือ 10 ปี และถ้าไปเที่ยวยุโรปหลาย ๆ ประเทศละ หรือไปประเทษเดิม ๆ หลาย ๆ ครั้ง โอยงงไหมอะ
เพื่อนเราบอกเพื่อนเรานั่งเขียนมันหมดเลย แบบประมาณเอา เราไม่คิดจะทำเลยจ้า เราเขียนไปแบบที่หลัก ๆ จำได้ เอาแบบให้เค้าเห็นว่ามีไปเที่ยวนะไรงี้ ก็พอแล้วนะจริง ๆ เพราะเราก็ยังผ่านเลย ทั้ง ๆ ที่เขียนไปแบบไม่ถึง 50% ของที่ไปเที่ยวด้วย
ต่อไปนี้จะเป็นรายชื่อเอกสารที่เราได้แนบไปด้วยก่อนจ่ายเงิน อย่างที่บอกกันไปแล้วว่าสำหรับเราทำอาจจะไม่เหมือนกับของคนอื่น ๆ ที่อาจจะมีอายุน้อยกว่า 18 เคยแต่งงาน หรือเคยเปลี่ยนชื่อ ก็จะมีเอกสารประมาณเพิ่มเติมกันไปสำหรับแต่ละเคส ยังไงแล้วถ้าใครแต่งงาน หรือเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อนก็แค่มีเอกสารหลักฐานยืนยันแนบไปเพิ่ม
Identity
1.Passport / พาสปอร์ต หน้าแรกก็พอนะ
2.Certified copy of national identity card / บัตรประชาน
Evidence of intended study
3. Confirmation of Enrolment (CoE) for all intended courses
เอกสารที่มหาลัยจะส่งมาให้เมื่อเราจ่ายเงินค่ามัดจำ ของเรามัดจำไป 10,000 AUD และเดียวนางจะไปหักกับค่าเทอม ในเอกสารนี้จะมีเลขรหัส 8 หลักอยู่ขวาบนของเอกสาร
Health insurance
4. Evidence of adequate health insurance. Health insurance must be Overseas Student Health Cover (OSHC)
อันนี้จะเป็นเอกสารว่าเราได้ทำประกันสุขภาพไว้สำหรับทั้งระยะเวลาที่จะอยู่ในประเทศ ส่วนใหญ่มหาลัยจะมีแนะนำว่าทำกับเค้าไหม เรารู้สึกว่าจริง ๆ ทำเองน่าจะถูกกว่า เพราะไปดูราคาบนเว็บ BUPA แต่ไม่แน่ใจว่ามหาลัยที่มีราคาแพงกว่าอาจจะมีรวมบริการอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า อาจจะเป็น healthcare facilties กับโรงเรียน? อันนีก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เพื่อความสบายใจ และความรดเร็วไม่ยุ่งยากแนะนำทำกับมหาลัยไปเลยน่าจะเร็ว และง่ายกว่า
Genuine Temporary Entrant requirement
สำหรับตรงนี้เราต้องกรอกเองตามที่อธิบายไว้ข้างบน และต้องมีเอกสารยืนยันตามที่เขียน ส่วนใหญ่ก็จะเขียนเรื่องความพร้อมทางการเงิน และการศึกษา
5. Bank Statement
6. Bank Guarantee
7. Education History
Employment history
8. Payslip
พอกรอกรายละเอียดเสร็จแล้วก็ถึงเวลาจ่ายตังจ้าาาา ถ้าจ่ายแบบ credit card ก็จะมี surcharge จาก $575 เป็น $582
Biometric
พอเราทำการจ่ายเงินแล้ว จะมีเมลเข้ามา 2 เมล อันแรกจะเป็น IMMI Acknowledgement of Application Received หรือคือเมลเพื่อเป็นการยืนยันว่ารับเรื่องเรียบร้อยแล้ว และอีกอีเมล Requirement to Provide PIDs เป็นตัวสำคัญ เพราะมันคือเอกสารที่เราต้องปริ้นเพื่อไปให้ VFS เพื่อทำการเก็บ Biometric นั่นเอง
ก่อนอื่นเลยคือเราก็ต้องไปเว็บ VFS เพื่อทำการจองวันที่เข้าไปเก็บ Biometric Collection ก่อน
พอนัดวันและเวลาได้ เราก็เตรียมเอกสารเพื่อไป VFS กันเลย:
- Passport ตัวจริง
- ปริ้นจดหมายการนัด
- เอกสารจาก ImmiAccount ในเมล Requirement to Provide PIDs ที่จะมี Visa Lodgement Number อยู่ด้วย
ตึก Trendy Office จะอยู่ใกล้ BTS สถานี นานา และมีที่จอดรถ ค่าจอดชั่วโมงถ้ามี stamp ฟรีนะคะ ชั่วโมงต่อปีจะคิด 30 บาท
ถ้าใครเคยมาทำวีซ่าท่องเที่ยวกับ VFS ก็คล้าย ๆ กันเลย ให้ใบนัดกับ counter ข้างล่าง ตอนที่เค้าเรียกเวลานัดหมายเรา และขึ้น lift ได้เลย ถ้าอยากอ่านแบบะเอียดว่าหน้าตาตึกเป็นยังไงก็ไปอ่านได้ในบทความบอกรายละเอียกการทำวีซ่าท่องเที่ยวของออสได้เลย
สำหรับค่าใช้จ่ายในการไป VFS ในครั้งนี้เพื่อเก็บข้อมูล Biometric อยู่ที่ 851 บาทค่ะ ไม่มีการส่งอะไรกลับมาทั้งสิ้น เดียวเค้าจะส่งข้อมูลไปให้สถานทูต เราแค่เชค ImmiAccount สำหรับข้อมูลล่าสุดว่าได้รับหรือยัง
Health Assessment
ในส่วนของการตรวจสุชภาพ เราจะต้องเข้าไปปริ้นใบใน ImmiAccount เอง จะไม่มีการส่งเมลมาให้ เราต้องปริ้นเอกสารที่หน้าตาแบบนี้ ที่เรียกว่า eMedical ออกมาเองเพื่อไปยื่นให้โรงพยาบาล พร้อม Passport และบัตรประชาชนตัวจริงค่ะ
โรงพยาบาลในกรุงเทพที่เราสามารถเลือกไปตรวจได้มีอยู่ 2 ที่ค่ะ คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ กับ โรงพยาบาล BNH เอาที่สะดวกเลย เราเลือกไปโรงพยาบาลกรุงเทพเพราะใกล้บ้านมากกว่า สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่กรุงเทพสามารถเข้าเว็บนี้เพื่อไปดูว่ามีโรงพยาบาลไหนในจังหวัดไหม (โดยการเลือก Thailand และลงไป Panel Physician เลย)
สำหรับการตรวจร่างกายในครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เราทำ ก่อนหน้านี้ไม่เคยตรวจมาก่อน สิ่งที่ต้องตรวจมีอยู่ 4 ขั้นตอน ได้แก่ :
- น้ำหนัก ความสูง และถ่ายรูป
- ตรวจปัสสาวะ
- X-Ray ปอด
- พบคุณหมอเพื่อคุยเรื่องสุขภาพ และยาที่กินเป็นประจำต่าง ๆ
เริ่มด้วยจากการโทรไปนัดวันที่เราสะดวกเข้าไปรับการตรวจร่างกาย เค้าก็จะบอกว่าเราสามารถกินข้าวได้ปกติ แค่อย่ากินชา นม กาแฟเฉย ๆ และใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่วันที่เราไปจริงๆ แอบเร็วด้วย ประมาณ 2 ชั่วโมงเอง
เรานัดไปตรวจเวลา 11.00 น. ขับรถไปโรงพยาบาลกรุงเทพ อาคาร I เราจอดรถแบบ Valet มีบริการหน้าตึกเลย
พอเข้าไปแล้วจะเห็นร้าน Starbucks เราก็หันขวาขึ้นชั้น 2 เพื่อติดต่อแผนก International Medical Service หรือ IMS ได้เลย แต่วันที่เราไปบันไดเลื่อนดันพัง
พอขึ้นไปติดต่อ และทำประวัติกับทางโรงพยาบาลเสร็จ เค้าก็ขอเอกสารทุกอย่าง และจะให้ไปชั่งน้ำหนัก ความสูง และถ่ายรูปหน้าตรง ระหว่างนี้ก็ให้เราดื่มน้ำเยอะ ๆๆ เพื่อที่จะไปปัสสาวะใส่ในขวดเปล่าเพื่อไปตรวจ
ด้วยความที่เรายังไม่ปวดฉี่สักที ก็เลยขอไปทำอย่างอื่นก่อน นั่นก็คือขึ้นไปอีกชั้น เพื่อไปตรวจ X-Ray ปอดค่ะ อันนี้ทางออสเค้าซีเรียสนิดหน่อย กลัวเราปอดไม่แข็งแรง เคยเป็น TB เค้าจะให้ชุดมาเปลี่ยน พอขึ้นมาก็ให้เอกสารเค้า และเข้าไปในห้อง locker เค้ามีทุกอย่างให้ครบเป็นระบบ ออกมาก็รอเข้าไป X-Ray ได้เลย
พอ X-Ray เสร็จ เราก็ปวดฉี่สักที พอวางขวดที่มีปัสสาวะเราไว้ในที่ ๆ เค้าบอกแล้ว เค้าก็บอกให้เราสามารถเปลี่ยนชุดกลับ และไปกินข้าวได้ และค่อยกลับมาที่เดิมอีก 1 ชั่วโมง เพื่อเข้าไปคุยกับคุณหมอค่ะ
ตอนนี้เราก็หิวได้ที่แล้วเหมือนกัน เลยเดินไป Bangkok Plaza อีกตึกที่เราเดินไปได้ และมีร้านอาหารต่าง ๆ พร้อม ต้องอย่าลืมว่าห้ามกินชา นม กาแฟอะไรพวกนี้นะ
ขอบคุณรูปจาก: BangkokHospital
ในนี้มีทุกอย่างตั้งแต่ร้านหนังสือ คาเฟ่ ธนาคาร รวมไปถึงอาหารต่าง ๆ เราเลือกกินฟูจิ และก็กลับมาหาคุณหมอต่อ คุณหมอก็ทำการตรวจปกติ และถ้าเรามีการใช้ยาอะไรประจำก็อย่าลืมแจ้งคุณหมอตั้งแต่ตรงนี้ เพราะเราลืมเลยต้องรอคิวคุยใหม่อีกนานเลย ภายในเวลานี้คุณหมอจะได้ผลตรวจปัสสาวะ และ X-Ray ปอด เพื่อยืนยันว่าเราสุขภาพดี และจะส่งผลไปที่สถานทูต
เราทำการลงไปจ่ายเงิน อยู่ที่ราคา 3100 บาท ดูเหมือนจะแพงขึ้น เพราะจากที่ดู pantip ปีที่แล้วเค้าไปทำกันราคา 2900 บาท
เราออกจากโรงพยาบาลประมาณบ่าย ๆ ตอนเรากลับบ้านมา ImmiAcount เราก็ update แล้วเรียบร้อย ประมาณบ่าย 4 อีเมลก็ส่งมาว่าวีซ่าได้แล้ว เร็วมากกก
เราสามารถปริ้นเจ้าเอกสารนี้ หรือเก็บ pdf ไว้ในมือถือได้ตอนตรวจคนเข้าเมือง เค้าจะมีข้อมูลเราอยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์ และความสบายใจก็เอาติดต่อไปได้ด้วยค่ะ
เรียบร้อยแล้ววว วีซ่านักเรียนออสเตรเลีย ไม่ได้ทำยาก หรือลำบากอะไรอย่างที่คิดเลย จริง ๆ ทำเองก็เร็ว และสะดวกมาก ถึงแม้ตอนแรกจะงง ๆ แต่จริง ๆ ก็คือมีขั้นตอนเพื่มจากที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวอยู่แค่ตรงไปตรวจร่างกายเฉย ๆ เอง และเค้าให้ความสำคัญ และ priority สุด ๆ เลยดูจากความเร็วในการ Grant visa แล้ว
ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่กำลังจะไปเรียนออสโชคดีนะคะ และเดียวเราจะกลับมาอีกทีกับบทความเรื่องการแนะนำ และปัจจัยต่าง ๆ ในการเลือกประเทศ เมือง มหาลัย และคอร์ส พร้อมข้อมูล คำแนะนำ และเล่าประสบการณ์การย้ายไปเรียนต่างประเทศครั้งแรกครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกหอพักทั้ง ๆ ที่เราอยู่ไทย หรือการสิ่งที่ควรเตรียมแพ็คใส่กระเป๋าในการไปเรียนต่อสำหรับครั้งแรกว่าควรเอาอะไรไปบ้าง เราตื่นเต้น และอยากที่จะแชร์การเดินทาง และประสบการณืใหม่ครั้งนี้ไปพร้อมกับผู้อ่านของเว็บ Ohmissannabella ทุกคนเลยย 🙂
เรียบเรียงโดย ohmissannabella