
ก่อนอื่นเลย ต้องเริ่มจากการอธิบายก่อนว่าทำไมถึงติดสินใจไปเที่ยวคนเดียว เคยเบื่อไหมที่ต้องมาจัดวันว่าวันไหนว่างตรงกับเพื่อนบ้าง ยิ่งคนเยอะก็ว่างตรงกันยากขึ้น หาวันที่จะไปแค่ 2-3 วันนี้แทบจะดูเป็นเรื่องแสนยากลำบาก นี้ขนาดแค่เรียนและยังไม่เริ่มทำงานกันก็มีปัญหาว่างไม่ตรงกันขนาดนี้ และนั้นก็คือความรู้สึกว่าเห้ยจริงๆแล้วเราไม่ต้องรอให้คนอื่นเค้าว่างก็ได้ปะ ในเมื่อส่วนใหญ่เราก็เป็นคนชอบจองนู้นจองนี้เองอยู่แล้ว และหลังๆก็เริ่มชอบเดินไปไหนมาไหนคนเดียว แบบอยู่ดีๆก็ออกแนวสันโดษ สิงคโปร์ดูเป็นประเทศที่น่าลองเที่ยวคนเดียวดูเพราะ:
1) ความปลอดภัยของตัวประเทศสิงคโปร์ แน่นอนต้องมีพื้นที่ไม่ดีบ้างเช่น Geyland เราก็ไม่ไปตรงนั้น
2) พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถึงจะมีสำเนียงที่ฟังยากแต่เขาเข้าใจเราหมด และป้ายทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ
3) ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากประเทศเรา ประมาณ 2.5 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
4) ประเทศเล็ก และเจริญ มี public transportation หรือการขนส่งสาธารณะที่ครอบหลุมพื้นที่สำคัญๆ
5) เราเคยมีโอกาสเคยไปมาก่อน ถึงแม้จะหลายปีมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใหม่หรืออะไร
6) มีเพื่อนที่อยู่ที่นั้น แต่ก็ไม่ได้อยากรบกวนเขามากเท่าไหร่ แต่มีให้อุ่นใจก็ดีกว่าไม่มีเลย
7) ไม่ต้องใช้วีซ่า สะดวก ง่าย และเร็ว
เอ้า ก็ได้นิ งั้นรออะไร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวคือไม่อยากอยู่ไทยตอนช่วงสงกรานต์เพราะส่วนตัวไม่ชอบเทศกาลนี้อยู่แล้ว ไม่ชอบน้ำ ไม่ชอบความร้อน ไม่ชอบคนขับแว๊นซ์ขี่มอไซค์เสียงดังไปมา ไม่มีอะไรเปิดให้กินแถวบ้านอีก ทุกปีตั้งแค่เรียนมหาลัยมาไม่กล้าไปเที่ยวเลยเพราะกลัวอ่านหนังสือสอบไม่ทัน แต่ปีนี้จะจบแล้วยังไงก็จะไปให้ได้ เราก็เลยซื้อตั๋วเลยยยย
PLANE TICKETS AND ACCOMODATION
เริ่มจากการซื้อเป็น package ใน expedia กดอยู่นานมาก ราคาก็ไม่ได้ว่าจะถูก เพิ่งจะรู้ว่าอาทิตย์ที่ไปเป็นวันหยุดยาวของสิงคโปร์อีกด้วย แงงง แต่ก็คนมันจะไปอะเนอะ ดูโรงแรมอยู่นานเพราะนอนคนเดียว สิ่งแรกคือไม่แน่ใจว่าควรนอนเป็น hotel แบบ single room หรือจะลองนอนแบบ capsule ดี!? คิดไปคิดมา capsule ละกัน จะได้เปลี่ยนลองอะไรใหม่ๆ ที่คงไม่ได้ลองถ้ามากับเพื่อน ไม่ใช่อะไร เพราะพวกเราเม้ากันเสียงดังมาก เค้าคงไม่ให้นอนอะ
สิ่งแรกที่ประทับใจมากเกียวกับ expedia ที่เราไม่เคยลองใช้มาก่อนคือ app ในมือถือสวยงามมม ใช้ง่าย และดูสะอาดตามาก หลังจากเลือกโรงแรมอยู่นาน เพราะสิงคโปร์เค้ามีโรงแรมแบบ capsule เยอะอยู่พอสมควร เราเลยเลือกที่ The Pod ตรง Bugis ค่ะ เมื่อรวมราคากับค่าตั๋วเลขที่ออกคือ 9,605 บาท ไม่ได้ถูกเลออออ ค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ 5,991 บาทกับสายการบิน Tiger Air ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิค่ะ ส่วนโรงแรมนอน 3 คืนราคาอยู่ที่ 3,614 บาท ตกคืนละ 1,200 บาท เอาจริงราคานี้คือนอนโรงแรมอย่างดีที่ไทยได้เลย แต่เราไปเองคนเดียวและต้องการความสะดวกในกลางตัวเมือง พร้อมกับมันเป็นช่วงวันหยุดยาว เราเลยคิดว่าโอเคค่ะ
Day 1
ด้วยความตื่นเต้นเพราะเครื่องออก 10.25 น. ไปคนเดียวไม่มีคนไปส่ง และต้องออกจากบ้านเช้า กลัวเรียกแท็กซี่ไม่ได้ เราเลยลองใช้บริการ All Thai Taxi ดูค่ะ รีวิวในเฟสไม่ค่อยจะดีเลย ประมาณว่านัดมาแล้วไม่มา เสียเวลาสุด ๆ เราก็กลัวเพราะถ้าเขาไม่มาเราก็ตกเครื่องสิ แต่ก็ลองจองๆไปก่อนนอน คิดว่าเดียวตื่นเช้ามาถ้าไม่ได้ก็จะรีบลงไปหาแท็กซี่หรือเรียก uber ดู แต่นางมาจริงๆค่ะ คนขับสุภาพมาก และรถสะอาด ดูใหม่ คือดี แนะนำมากๆ


หลังจากที่ถึงโรงแรมเชคอิน เรากับเพื่อนก็เดินเล่น Bugis ที่อยู่แถวโรงแรมค่ะ เช่น Arab Street และ Haji Lane
1. HAJI LANE


2. ARAB STREET and SULTAN MOSQUE



3. BUGIS+

4. DUO RESIDENCE
ขอแถมด้วยตึกที่อยู่ใกล้ๆที่พักเราที่เราชอบเป็นพิเศษ มันสวยมากก ยิ่งตอนกลางคืนที่เปิดไฟ คนออกแบบคือคนเดียวกับที่ทำตึก MahaNakhon (มหานคร) ที่กรุงเทพเราค่ะ


5. NATIONAL LIBRARY SINGAPORE
ตึกนี้จะเห็นเด็ก ๆ ทั้งมหาลัยและมัธยมมานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบกันอย่างเคร่งครัด สามารถขึ้นไปชั้นสูง ๆ ดูวิวได้ฟรีด้วยค่ะ

6. Buddha Tooth Relic Temple and Museum
ระหว่างเดินไป Maxwell Hawker Center เพื่อไปกินข้าวมันไก่ยอดนิยมอย่าง Tian Tian Chicken Rice เราก็เดินผ่าน ChinaTown ถ่ายรูปวัดดังอย่าง Buddha Tooth Relic Temple and Museum กันค่ะ




7. Sri Mariamman Temple
และแน่นอนวัดแขกที่อยู่ข้างๆ ต้องเดินไปหน่อยนะคะ ตอนที่ไปเหมือนฝนใกล้จะตกเลยไม่ได้เข้าไปดู รู้สึกเหมือนเขาบังคับให้ถอดรองเท้าด้วย





8. CHINA TOWN
ระหว่างเดินก็อย่าลืมชมวิวของตึกในย่าน China Town นะคะ ตึกจะเตี้ยๆเหมือนตึกแถวบ้านเราแต่สีสันน่ารักมาก



9. MAXWELL HAWKER CENTER
อันนี้เป็น Hawker Center ที่ต้องมาเลยเพราะเมนูนี้เมนูเดียวเท่านั้น ที่สิงคโปร์จะไม่มีอาหารข้างถนน เพื่อความเป็นระเบียบเค้าก็เลยมีจัดเป็น foodcourt แบบนี้ค่ะ ข้าวมันไก่ Tian Tian Chicken Rice ที่เราอยากไปกิน คือไปแล้วปิดค่ะ แป่ววว ก็เลยซื้อร้านข้างๆที่เห็นคนต่อแถวเยอะ แค่ร้านนี้ก็ฟินแล้วอะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจ้าดังจะฟินขนาดไหน



10. ARTBOX
หลังจากกินข้าอิ่มกันแล้ว คราวนี้ไปลงสถานี Harbourfront ค่ะ เพราะวันที่เราไปมีจัดงาน Artbox ที่สิงคโปร์พอดี คนเยอะมาก และร้อนสุดๆ อาหารก็แพง คือไปแค่ดูบรรยากาศเฉยๆ


11. MARINA BAY SANDS
อยู่แถวนั้นแล้วก็ต้องแวะไป Marina Bay Sands ดูเขาเปิดไฟตอนกลางคืนสะหน่อยยย ได้ฟีลที่แตกต่างจากตอนกลางวันมาก ๆ


DAY 2
12. Albert Food Center
อันนี้เป็น Hawker Center เหมือน Maxwell ที่ Chinatown ส่วนใหญ่ทุกย่านจะมีดังๆใหญ่ๆอยู่อย่างน้อยที่หนึงค่ะ ที่นี้ใกล้กับที่พักอยู่แถว Bugis พอดี ก็เลยแวะไปกิน Mee pok หรือเหมือนบะหมี่หมูค่ะ เราขอให้เขาใส่พริกเพิ่ม ถ้าสั่งเป็นแห้งจะได้น้ำซุปฟรี


13. GARDEN BY THE BAY: SUPERTREE
เจ้าตัว supertree นี้รู้สึกว่าจะมีวางไว้หลายบริเวณ แต่ตรงที่สำคัญคือจะมีบริการให้เราสามารถขึ้นไปดูวิวได้นะคะ มันก็คือ OCBC SKYWAY ในราคา 8 SGD แต่ตอนเราไปไม่ได้ขึ้นเพราะมันฝนตก ฮือออ แต่ไม่เป็นไร ถ่ายจากข้างล่างก็พอใจละ




14. FLOWER DOME
อันนี้ไม่ไปไม่ได้ แอร์เย็นมากกก55555 ตอนที่เราไปมีจัดนิทรรศการดอก Tulip ด้วยค่ะ สวยมากก เราซื้อตั๋วมาจาก tourist information ตอนออกมาจากตม.ที่สนามบิน เขาบอกมันจะราคาถูกกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่เหมือนที่พักก็มีขายใน lobby














15. CLOUD FOREST
พอเดินออกมาจาก Flower Dome ข้างๆก็เป็น Cloud Forest ที่แอร์เย็นมากๆเหมือนกัน5555 ตั๋วที่เราซื้อเพื่อเข้า flower dome ก็มี cloud forest รวมอยู่แล้วด้วยค่ะ




16. THE SHOPPES at MARINA BAY SANDS
เป็นห้างที่ใหญ่และหรูมากค่ะ มีคาสิโนด้วย เราไม่ได้เดินเลยเพราะมีแต่ของแพง ก็เลยเข้าไปตากแอร์อย่างเดียว



17. LV ISLAND
ข้างหน้าห้างก็จะเป็นจุดชมวิวสวยๆอีกแห่งของสิงคโปร์ค่ะ เราชอบร้าน LV อันนี้มาก



18. ARTSCIENCE MUSEUM
อันนี้บางคนอาจจะไม่อยากเข้าไป แค่ถ่ายรูปข้างนอกตัวอาคารก็พอใจกันแล้ว แต่สำหรับเราคืออยากเข้าไปดูนิทรรศการไฟที่เขาจัดกันและที่คนไปถ่ายรูปกันเยอะมาก นั่นก็คือ TeamLab Future World จ้าา เอาบัตรนักเรียนไปด้วยนะ จะได้ลดราคาด้วย







19. HELIX BRIDGE
ข้างๆก็จะเห็นเจ้าสะพานตัวนี้ เราแนะนำว่ามาถ่ายรูป Artscience Musuem ตรงนี้จะได้มุมที่ดีมาก เพราะข้าง ๆ เป็นสะพานให้รถขับข้ามไปอีกฝั่ง ทางสิงคโปร์เขาเลยอยากจะสร้างสะพานให้คนเดินที่ดูเบา สบายตา แตกต่างจากความหนักและดูหนาของสะพานสำหรับรถข้าง ๆ และการดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงสร้างของ DNA ที่สื่อให้เห็นถึงความทันสมัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ ความรู้วิชาการ ก่อนจะนำทางคนเดินไปสู่ Artscience Museum พิพิธภัณฑ์ที่โชว์ผลงานความสามารถทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ของมนุษค่ะ

DAY 3
20. Buona Vista
ข้าวหน้าเป็ดนี้เริ่ดมากกกก อร่อยจริงๆค่ะ ไปลองของหลาย Hawker Center แล้วแต่เราว่าที่นี้อร่อยสุด เรามา Ghim Moh Market ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีบ้านเพื่อน Buona Vista ตัวข้าวเขาจะเหมือนอบกับซอสทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อม จำได้ว่าข้าง ๆ สถานีรถไฟมีตึกสวยเช่น The Star Vista ด้วยค่ะ


21. CITY HALL STATION
ตอนนั้นเบื่อๆไม่มีอะไรทำ เราเลยแวะไปสถานี City Hall ไปเดินเล่นดูตึกค่ะ เพิ่งจะรู้ว่าแถวนั้นได้ชื่อว่าเป็น Little Burma ตอนแรกที่ไปเป็นวันอาทิตย์คือไม่รู้ก็งงมากว่าทำไมมีคนนั่งบนถนนกันเยอะจัง แบบปู่เสื่อนั่งกินส้มตำกันเต็มไปหมด ที่แท้เป็นเหมือนศูนย์รวมคนพม่าของประเทศสิงคโปร์ค่ะ เราว่าแถวนี้นอกจากจะมี National Gallery Singapore ก็ยังมีตึกสวยๆอย่างโรงแรม JW Marriott แห่งแรกของสิงคโปร์และที่ดูวิวของตึก Marina Bay Sands และยังมีบริการให้เช้าจักรยานอีกด้วย





22. ST ANDREW’S CATHEDRAL
อันนี้เราเดินผ่าน แต่ไม่ได้เข้าไปดู เหมือนวันนั้นเป็นวันอาทิตย์คนเลยเข้าไปกันเยอะ ถ้าออกมาจากสถานี City Hall ต้องเห็นแน่ๆ

23. SUPREME COURT
พอเดินผ่าน National Gallery ก็เจอกับตึกสวยอันนี้ ตอนแรกนึกว่าโรงแรม หรือบริษัททำงานที่เกียวกับดีไซน์อะไรหรือเปล่า ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เขาใหญ่ แต่ที่จริงเป็นศาลสูงของที่นี้ ที่เพิ่งได้รับการปรับโฉมเมื่อไม่นานมานี้ ไม่น่าละ ดีไซน์ดู modern และสบายตามาก เขาบอกว่าเน้นดีไซน์ให้ดูปลอดโปร่งเหมือนการว่าความที่ปลอดโปร่งค่ะ

24.BRAS BASAH
ตอนนั้นอยากไปลองกินที่ร้านชื่อดังอย่าง Curious Palette ซึ่งสามารถเข้าไปดูรีวิวได้ที่นี้ เราก็เลยใช้โอกาสนี้เดินเล่นย่านนี้ดูสะเลย มีร้านขาย furniture และอาร์ทๆมากมาย เพราะอยู่ใกล้กับมหาลัย Singapore Management University




25. CHANGI AIRPORT
สุดท้ายไม่พูดถึงคงไม่ได้ ใครไปสิงคโปร์เราแนะนำให้เผือเวลาไปเดินเล่นดูสนามบินด้วย เพราะสนามบิน Changi ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลก ไม่ใช่เพราะสวย สะอาด ใหญ่โตเท่านั้น แต่เพราะให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้โดยสารด้วย มีสวนดอกไม้มากถึง 5 ที่ อย่างในรูปเราไป Sunflower Garden ของ Terminal 2 ค่ะ แต่เขามีทั้ง Orchard Garden, Butterfly Garden, Enchanted Garden และ Cactus Garden ให้ได้ไปชมกันด้วย และยังมีเครื่องนวดเท้าฟรีอีก นอกจากอาหารที่มีให้เลือกเยอะมากๆแล้ว ก็ยังมีที่ดูหนัง ที่เล่นเกมส์ ที่ชาร์จแบตมือถือ แม้แต่ที่พักผ่อน พักสายตาหรือจะนอนไปเลยก็มีค่ะ



เรียบเรียงโดย ohmissannabella.com