Have you ever been lost in your thoughts? Feeling out of track but at the same time feel like you have the time to really be with yourself. In that haze, there comes a time of self-reflection. You get to really look at what matters and really really focus.. on yourself and – just for a moment – reflect.

I like to think back at all the things I do and where I am in life. This is one of those times. I hope you can also relate to the thoughts I have in my head and the things I want to say.

Friday September 9, 2017

ผ่านมาแล้ว 1 เดือนเต็มกับการทำงานประจำ หลังจากเริ่มทำงานเป็นมนุษเงินเดือน สิ่งหนึงที่เราเรียนรู้เมื่อได้เงินเดือนเดือนแรกคือ ต้องจำเอาไว้ว่า

“งานทุกอย่างที่ทำไม่ได้เป็นของเรา เราให้ลูกค้าหมด ทุกอย่างที่เป็นผลงานที่ดี it all ends up contributing to your client’s success and not yours ไม่ใช่เหมือนตอนเรียนที่ทำก็ได้เกรดเก็บมาเป็นของตัวเอง”

มันเหมือนเป็นงานที่ไม่รู้จบ ผ่านเข้ามาให้เราทำ และพอทำเสร็จก็เทออกไป เหมือนน้ำที่ระเหยแห้ง รอวันที่จะกลับมาเป็นอีกงานที่เราต้องกลับมา follow up และแก้

สิ่งที่ควรจำทุกครั้งคืออย่าลืมที่จะทำอะไรเป็นของตัวเองไปด้วย ไม่ว่าจะได้เงินหรือไม่ได้ก็ตาม เราต้องอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ช่วยให้ตัวเองดีขึ้น เก่งขึ้น เริ่มทำนู้นทำนี้นอกเหนือจากงานที่ทำประจำอยู่แล้ว เพราะถ้าตอนนี้ไม่ออกมาเป็นเม็ดเงิน ยังไงเราก็ยังมีเงินเดือนจากงานประจำที่ไว้รองรับ เราควรมองว่าเอาเวลานี้ เก็บรับความรู้ทุกอย่างที่จะทำได้ และรู้จักสร้าง connection กับคนให้มากที่สุด เพราะในที่สุดแล้วงานก็เป็นเพียงงาน ไม่ได้อยู่กับเราติดตัวทั้งชีวิตเหมือนความรู้และวิชาชีพที่เราสามารถไปเพิ่มต่อยอดและมูลค่าได้ในอนาคต

พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้เศร้าหรือหมดหวังอย่างที่หลาย ๆ คนตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึก เราว่ามันไม่ง่ายหรอกที่จะเรียนจบแล้วมาทำงานเลย พร้อมความรู้สึกที่ว่า กูจะต้องประสบความสำเร็จทันทีและต้องแบบยิ่งใหญ่มาก ๆ เพราะบางครั้งแค่ไปทำงานทั้งอาทิตย์โดยไม่สายเลยก็รู้สึกภูมิใจและสำเร็จได้ไม่แพ้กัน เราควรที่จะเลิกกดดันตัวเองว่าต้องรู้ให้หมด ทำเป็นไปหมด และเริ่มที่จะคิดเป็น baby steps เลยทีละอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป

เรื่องความกดดันตัวเอง

เราจำได้เลยว่าวันแรกที่เราเข้าไปทำงาน เรากดดันมาก เพราะรู้สึกงงกับระบบ งงกับ google sheets กับแต่ละ file, folder แต่พอเรามารู้ว่า เห้ย ไม่มีใครเข้ามาวันแรกและจะรู้หมดปะวะ เราก็เริ่ม take each day at a time และพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีใครเกิดมาเดินได้เลย ขนาดเจ้านายยังรู้และไม่ได้กดดันเราเลยในช่วงแรก ๆ มีแต่ตัวเราเองที่เครียด ที่คิดมาก แต่ก็ไม่ผิดหรอก เราอยากทำงานให้ออกมาดี เราอยากพิสูจน์ว่าเขาเลือกเรามาทำงานเนี้ย ไม่ผิดคนนะ และอยากพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นดูด้วยว่า เออ เรา transition จากเรียนมาทำงานได้วะ แต่อย่างหนึงที่เรามองข้ามอยู่ตลอดคือ ไม่มีใครเค้าสนใจหรอก everyone is too busy living their life มีแต่เราที่เอาเวลามานั่งคิดเรื่องของตัวเองทั้งนั้น

เรื่องมาทำงานนอกบ้าน

หลายครั้งเลยที่รถติดอยู่ระหว่างกลับบ้านตอน 6 โมง เห้อออ อยากทำงานให้ที่ร้านของบ้านจัง หรือมันจะสบายกว่านะ อยากไปเที่ยว อยากได้วันหยุดตามใจเรา ไม่อยากหยุดวันเสาร์อาทิตย์ตามคนอื่น เพราะไปเที่ยวไหนก็แพง ไม่อยากเลิกงาน เข้างานตามคนอื่น ชอบอินดี้ ชอบไม่เหมือนคนอื่น แต่อีกใจก็บอกว่าเรายังเด็กมาก งานที่บ้าน ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงจะเริ่มช้าได้เงินช้า แต่มันก็รอเราอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ถึงตอนนี้จะเครียด จะมีเรื่องให้คิดเยอะไปหมด แต่ก็ท่าทายดีไหม อย่าทิ้งอะไรเพียงเพราะมันไม่สบายตัวเพียงชั่วครั้งชั่วคราว บางทีสิ่งท่าทายพวกนี้จะทำให้เราภูมิใจในอนาคตว่าผ่านมันมาได้นะ รู้ว่าตัวเองอยากเที่ยว และรู้ว่างานประจำไม่ได้ offer วันหยุดให้มากเท่าไหร่ และรู้ว่าตัวเองไม่ชอบรอ เพราะคิดว่ารอไปรอมา เดียวจะไม่ได้ไปจริง ๆ และอยากไปก็ไปไม่ได้แล้วเพราะด้วยเหตุผลต่าง ๆ แต่ตอนนี้เราควรที่จะรีบเก็บความรู้ทุกอย่างที่เราควรจะได้ และเอาประสบการณ์ที่การทำงานที่บ้านไม่สามารถให้เราได้ดีกว่า และวันไหนรู้สึกว่าตันแล้ว ไม่มีอะไรจะเรียนรู้ใหม่ ๆ แล้ว ค่อยออก hang in there anna

เรื่องความรัก

การทำงานเหงามาก แต่เราก็เป็นคนชอบอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ชอบกลับบ้าน ไม่ชอบไปไหนมาไหนหลังเลิกงาน เราชอบ recharge แบตในห้อง ในเตียงนุ่ม ๆ เปิดแอร์เย็น ๆ อาบน้ำตัวหอม ๆ แต่บางครั้งในความเงียบสงบในห้องนอน ก็เกิดความเหงา ความรู้สึกว่า เออ ถ้ามีใครโทรหาได้ตอนนี้ก็ดีดิ ความรักในวัยทำงานทุกคนมักบอกว่ายาก เราก็ว่ายากจริง ๆ ละ เพราะเวลาจะออกไปไหนมาไหนก็แทบไม่มี เวลาจะเจอเพื่อนเพื่อ catch up ก็มีอยู่แค่วันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งตัวเราเองก็อยากพักอยู่บ้าน แต่ในความเหงานี้ เราดันรู้สึกดีสะงั้น เรามีความรู้สึกว่าเริ่มชินกับการ “ทำงานหนักจนไม่มีเวลาคิด” สมัยมหาลัยฟุ่งซ้านกว่านี้มาก เพราะเราไม่รู้ตัวเองเลยว่ามีเวลาว่างเยอะขนาดไหน พอทำงานกลับมาก็เหนื่อย อยากอาบน้ำนอน ก็เป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องไปเจอฟงเจอแฟน ไปนั่งดูหนังทั้ง ๆ ที่โครตอยากกลับบ้านนอน แต่ก็เหงาแหละ อันนี้ยอมรับ แต่ความเหงามันก็นำพาความสงบในอีกแบบ

เรื่องเรียนต่อ

เราอยากเรียนต่อมากกกก เราอยากไปเมกามากกก เพราะเรารู้สึกว่าไม่เคยไปไหนไกล ๆ นาน ๆ เลย นานสุดก็เดือนกว่าที่ไปเที่ยวเอง อยากไปสักทีที่พูดภาษาอังกฤษ เพราะเราชอบพูดมาก ๆ เรารู้สึกเหมือนเป็นอีกคน เมื่อพูดอีกภาษา เราเชื่อแล้วว่าคนเราจะมีนิสัยแตกต่างกันไปตอนพูดภาษาอื่น ตอนเราพูดไทย เรารูสึกน่ารำคาญมาก ซีเรียสมาก เหมือน try to prove อะไรสักอย่าง เหมือนต้องการ respect แต่ตอนเราพูดภาษาอังกฤษ เราชิว เท่ คูล แบบมั่นใจโดยไม่พยายามเลย แปลกปะ555 เราอยากไปเรียนต่อเมกา ตรง california เราชอบทั้ง scenery, natural landscape, weather, people, food, city พูดง่าย ๆ ชอบทุกอย่าง รู้สึกว่าculture เค้าเราน่าจะfit right in เพราะเราก็ exposed to so much media from the states anyway แค่อยากไปดู อยากรู้ว่าจะชอบหรือจะไม่ชอบ อยากไปลองอยู่คนเดียวแบบที่ต้องทำเองทุกอย่าง ทุกวันนี้ล้างจานเป็นอยู่อย่างเดียว ทำอาหารไม่เป็น ทำความสะอาดบ้านไม่เป็น ไม่ต้องพูดถึงรีดผ้า แค่อยากรู้ limit ว่าการที่ต้องทำทุกอย่างเองจะเปลี่ยนให้ตัวเราดีขึ้นหรือเก่งขึ้นยังไง

คิดว่าคงจะเรียน marketing มหาลัยที่ดูไว้คือ University of Southern California เพราะมันใช่ที่สุดแล้ว เพราะรู้ตัวว่าอยากอยู่ Los Angeles และอยากเรียนแค่ปีเดียว เราว่า 2 ปีนานไป เสียเวลา ของแบบนี้ยิ่งเริ่มทำงานก่อนยิ่งได้เปรียบ และก็เชื่อแล้วว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตั้งแต่เริ่มทำงาน รู้สึกตัวเองเรียนรู้อะไรเยอะกว่าเรียนทั้งเทอมอีก และมันต้องเรียนรู้ให้เร็ว เพราะเวลาคือเงิน

ยังไงแล้วจะมา update ทุกคนเรื่องการสอบต่าง ๆเท่าที่อ่านก็คือ IELTS หรือ TOEFL และก็มี GMAT/GRE ได้ข่าวว่า GRE ได้ง่ายกว่า แต่ด้วยความที่ไม่เคยทำ SAT ก็มีความกลัวนิดหนึง แต่ก็รู้สึกว่าถ้าเรามีเวลาเตรียมตัวก็น่าจะไม่แย่มาก มั้ง?

แต่รู้ว่ายังไงก็ไม่อยากไปอังกฤษแน่นอน เราไม่ชอบสังคมที่นั้นเลยที่ทุกคนดูคุณหนู ใส่fur ไปเรียน เราไม่ชอบสังคม pretentious พวกนี้เลย เรารู้สึกว่าทุกคนที่มาจากเมกาก็ไม่ได้รวยน้อยไปกว่ากัน แต่ดันมีความติดดินและเก่งมากกว่าอีก อาจจะเป็นเพราะเมกา respect คนที่ make it by themselves และไม่ใช่ใช้เงินพ่อแม่และบอกว่าตัวเองรวยไปวัน ๆ

เราได้คุยกับเพื่อน ซิ่ว ไว้ว่า เอออยากไปเมกากัน ปีหน้า ไม่รู้ว่ายังทำงานอยู่ไหม จะลาได้นานแค่ไหน แต่รู้ว่าจะไป อยากไป california สักครึ่งเดือนก็ยังดี อยาก road trip ไป San Francisco และอยากไป national park ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Yosemite National Park หรือ เจ้ Grand Canyon หรือทะเลสาบ Lake Tahoe อยากไป อยากไปปปป

ชีวิตตอนนี้

เราขอเรียกว่าอยู่ในช่วง in progress หรือ transition ดี ๆ นี้เอง ต้องพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น และ no good decision was made when you’re emotional และนี้ก็รวมไปถึงความอยากไปเที่ยว อยากรีบร้อนที่จะไปเรียนต่อ please take it day by day และอย่ากดดันตัวเองเลย พยายาม live and appreciate the present moment และจำไว้เสมอว่า แค่วันนี้มีบ้านให้อยู่ มีข้าวให้กิน มีเตียงให้นอน ก็โชคดีแค่ไหนแล้ว

 

 

Comments

comments