
สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนนน หลังจากเขียนบ่นเป็นภาษาอังกฤษในบทความที่แล้ว วันนี้มาถึงการรีวิวชีวิตของเด็กไทยในออสเตรเลียระหว่างช่วง COVID 19 กันดีกว่าเป็นไงบ้างง อย่างที่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลกต้องประสบปัญหาของ COVID-19 ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของสุขภาพ การเงิน การงาน หรือแม้แต่การไปเที่ยวต่าง ๆ
ส่วนตัวเว็บนี้เป็นเว็บเที่ยวก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่าเพื่อน ๆ ได้สังเกตกันไหม เราได้เปลี่ยนเนื้อหาบทความให้หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากเราไม่ได้ไปเที่ยวไหนมาสักพักละตั้งแต่มากลับมาเป็นนักเรียน บทความเรามีทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของชีวิต จนไปถึงรีวิว และมีเรื่องสุขภาพด้วยที่ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีไม่ต่างจากเรื่องเที่ยวเลย
เนื่องจากช่วงนี้เพื่อน ๆ คงจะไปเที่ยวกันไม่ได้ วันนี้เราเลยอยากมารีวิวในฐานะ นักเรียนไทยที่กำลังต่อโทอยู่ที่เมือง เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กัน ว่าชีวิตจากที่กำลังปรับตัวได้ เริ่มมีความสุข เริ่มไม่อยากกลับไทย จนกลายเป็นกลับหัว คิดถึงบ้านกันดีกว่า เราจะแบ่งเป็น phase ๆ กันจากเริ่มแรก จนถึงตอนนี้ (9 May) เป็นยังไงบ้าง เชื่อว่าเดียวมีอะไร ๆ ที่ต้องคืบหน้า และเปลี่ยนไปอีกเยอะในอนาคตอีนใกล้อย่างแน่นอน และจะพยายามมาอัปเดตให้ฟังกันนะเด้อ
Phase 1: Impact on Chinese Businesses
ช่วง Phase 1 เริ่มมีข่าว COVID-19 มาเรื่อย ๆ เคสแรกของออส คือวันที่ 25 มกรา ที่เมลเบิร์นเลยจ้า เราจำได้ว่าเพิ่งเรียน Summer เสร็จ กำลังเดินทางกลับบ้าน และอีเพื่อนก็ส่ง Line มา ว่ามันมาแล้วว เราก็แบบเห้ย นางเข้าโรงพยาบาลแถว ๆ บ้านเรา ไม่ได้ใกล้ แต่ทิศเดียวกัน เลยเริ่ม paranoid ว่านางไปไหนแถวนี้ไหม แต่ไม่ได้เกิดความกลัวอะไรมาก เราก็ไปซื้อ hand santizier มาขวดหนึง แต่ก็ไม่ได้คิดจะใช้ เพราะส่วนตัวเป็นคนกัดเล็บ และชอบมีแผลนิ้วเยอะ ถ้าใช้ alcohol คือแสบบบบ
แต่เริ่มมีเสียงว่าร้านอาหารจีน และร้านอาหารเอเชียต่าง ๆ โดยเฉพาะในย่าน Chinatown คือโล่งมากกก จนร้านที่ดังร้านหนึงต้องปิดสาขาไปหนึงสาขา และที่ shock คือเจ้าของ Dragon Hot Pot หนึงในร้านที่เราเคยแนะนำใน guide สำหรับอาหารเอเชียแนะนำในเมืองเมลเบิร์น ที่ขอบอกเลยว่าเห็นกีครั้งก็มีแต่คิวยาววว นางก็มาบ่นว่าลูกค้าน้อยลงเยอะ เนื่องจากฝรั่งกลัว
เราเลยไปดูเองเพราะไม่เชื่อ และก็เห็นจริง ๆ ด้วยว่าร้านใหญ่ ๆ แบบ Hawker Chan ที่โต๊ะเยอะมากกๆๆๆ คือไม่มีคนเลยยย เราเห็นและเริ่มสงสับว่า เห้ยทำไมคนที่นี้กลัว เราก็เข้าใจว่าเออที่นี้ไม่น่าเป็น เพราะนางก็ travel ban แล้วนะ และอีกอย่างเข้าใจว่าคนที่นี้ไม่ได้ racist ถ้ามีก็น้อย แต่ Covid-19 ทำให้รู้เลยว่า ไม่น้อยเลยจ้า
Phase 2 (Feb-March): Panic Buying
พอเริ่มปลาย ๆ เดือนกุมภา เราจำได้เลยว่าไป Gym อยู่ และตอนออกกำลังกายมันมีทีวีให้ด้วย ไม่งั้นก็คงไม่ได้เชคข่าวเท่าไหร่ และเหมือนเค้าเลยมีข่าวออกมาเรื่อย ๆ ว่าคนเริ่ม panic buy ของกัน เราก็แบบเอ้ย คงแค่บางทีมั้ง แถวบ้านเราไม่น่าโดน แต่หลังจากที่ Gym เสร็จเลยไปดู ปรากฎว่าหมดเกลี้ยง เริ่มจาก ทิชชู่ ไม่รู้ทำไมฝรั่งต้องซื้อทิชชู่เหมือนกัน งงว่าไวรัสมันทำให้ท้องเสียหรอ และก็เริ่มเป็นพวกของแห้งต่าง ๆ พาสต้า อาหารกระป๋องทีเก็บได้นาน ๆ และก็เริ่มเป้นเนื้อสัตว์ คือจากที่เราไม่แพนิคกลายเป็นเริ่ม insecure ด้วยความที่อยู่คนเดียวในต่างแดนด้วยไง
Thanks to: 7News
มันหนักมากและทำให้คนแก่ และคนที่พิการลำบากเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่มีของจริง ๆ และไม่มีเป็นเดือน คนที่ยังไม่หมดตอนแรก ๆ ก็ต้องเริ่มหา นาน ๆ ทีจะโชคดีเจอ ถ้าอยากได้จริง ๆ ต้องยอมซื้อจากพวกร้านที่เอาเปรียบ ขายม้วนและ 3-4 ดอลก็มี
คืองงที่สุดว่าประเทศนี้ นางเป็นประเทศที่เจริญแล้ว แต่ supermarket supply chain ห่วยมาก เข้าใจว่านางจะไม่ได้เก็บ stock ไว้เยอะ โดยเฉพาะทิชชู่ เนื่องจากมันใช้เนื้อที่เยอะ แต่คือร้านเอเชียข้าง ๆ นาว stock up อย่างเร็ว คืองงว่า เจ้เอเชียไม่เคยพลาด ไม่ว่าจะมาม่า ข้าวสาร หรือทิชชู่ mask หรือ hand sanitizer นางมีหมดจ้าาา จากที่ฝรั่งกลัวไม่อยากเข้าใกล้ร้านอาหารเอเชีย คือนางต้องทำใจเข้า asiain supermarket เพราะมีของ
อันนี้เป็นร้าน Asia ในเมืองใกล้มหาลัย นาง stock ทุกชั่วโมงจ้าาา
อันนี้เป็นอีกร้าน Asia ที่ขาย Mask ราคาแบบบ้ามาก ประมาณ 35 ดอลต่ออัน !!! ไม่ซื้อจ้าา มันมีหลายร้านขายของ Party ก็มีขาย จะถูกกว่าหน่อย อยู่ที่ 10-12 ดอล สำหรับ N95 อันนั้นพอทำใจได้
ตอนที่แย่ที่สุดคือหดหู่มากกกก ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ของหมดอะไรกับเค้านะ แต่เห็นและรู้สึกใจหายว่าเห้ยมันสำคัญเมื่อไม่มีให้เห็น พวก shelf ต่างๆ พอโล่งและแบบรู้สึก panic อะ พอมัน stock เข้า ก็ซื้อแบบไม่คิดเลยว่าต้องการจริง ๆ หรือเปล่า รู้สึกว่าเราคือหนึงในตัวปัญหาของ panic buying โดยไม่รู้ตัวจริง ๆ
โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยชอบกินมาม่า แต่ก็ซื้อเพราะแม่โทรมาเป่าหู ทำให้ panic ไปหมดดดดด inodmie shin ramen ในร้านเอเชีย ซื้อหมด และมีการกลัวเค้ามองแรงถ้าซื้อเยอะเลยมีการออกไปหลาย ๆ รอบ หนักกก
คือเรายังรู้สึกดีที่ประเทศนี้มีน้ำกินได้จากประปา ไม่งั้นไม่อยากคิดเลยว่าจะหาน้ำจากไหน และต้องแบกเยอะแค่ไหน
Phase 3 (March): Mask Wearing and Racism
อะเข้าเรื่องใหญ่ที่ส่วนตัวเจอเอง อาทิตย์สุดท้ายของมหาลัยปิดเป็นสอน online อีเราก็เริ่มใส่ mask ไปมหาลัย และก็โดนฝรั่งใน tram ไม่ได้ด่า หรือทำร้ายอะไรนะ แต่แบบเหมือนกวนตีนอะ ถามอยู่ได้ว่าทำไมต้องใส่ ใส่เพื่ออะไร เพื่อให้คนอื่นกลัวหรอ บลาๆๆๆ และคือมันมีเอเชียที่ใส่กับชั้นด่วย พอพวหเราไม่ตอบ นางก็แบบชั้นรู้นะเธอฟังชั้นออก บลา ๆๆๆ แบบรู้สึกอยากด่ามาก แต่กลัวอะ เห้อ หดหู่มากตอนนั้น รู้สึกว่าเออน่ารังเกียจ ทั้งๆที่ไม่ใช่คนที่มาจากจีน แต่หน้าจีนมาก และก็เริ่มมีข่าวเยอะมาก เรื่องการเหยียด ไม่ว่าจะโดนถุยน้ำลายเอ่ย หรือที่ล่าสุดในเมืองเมลเบิร์นที่เราเดินผ่านบ่อย ๆ คือโดนตบตีจ้าา
Thanks to: 7News
ประเด็นคือนางเป็นนักเรียนมหาลัยเดียวกับชั้นที่ Melbourne University และนางไม่ใช่จีน แต่หน้าจีนมาจากสิงคโปร์! ใหญ่ และดังมากจนครูใหญ่มหาลัยต้องออกวีดีโอมาพูดถึง ว่าการกระทำแบบนี้ไม่โอเค และตำรวจกำลังหาตัวอยู่
มันทำให้เราคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่างว่าคนที่นี้คือโอเคกับคนจ่าาติ on good times แต่เมื่ออะไรมันแย่ นางก็จะ blame คนที่ดูไม่เหมือนตัวเอง คนที่ดูแตกต่าง และก็โชว์เลยว่าคนที่นี้ไม่ได้ open to diversity อย่างที่พูดกัน ยอมรับว่าออสยังดีกว่าอังกฤษ และอเมริกาเยอะมาก แต่เราไม่แน่ใจว่าที่ดีกว่าเพราะตัวเลขเราไม่ได้เยอะเท่าเค้าหรือเปล่า
Phase 4 (March): Shutdown Stages
พอวันที่ 19 March ออกข่าวว่าคนในมหาลัยที่เป้นเรียบร้อยและเคสแรก และหลังจากนั้นวันที่ 23 ออสก็ปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และที่นี้นางปิดเร็วมาก เอาจริง เราสบายใจที่นางปิดมากกว่าช่วงที่ได้ยินว่าจะปิดๆ แต่ไม่ปิดสักที แต่นางปิดแบบร้านอาหารยัง takeaway อะไรงี้ได้ ยังมี public transport คนที่ทำงานแบบจำเป็นก็ยังทำได้ แต่ไม่มีคนเลยจ้า ไอเราที่ไม่ทำอาหารก็เริ่มต้องทำ เพราะอยากกินอาหารไทยแต่แถวบ้านมีแต่อาหารฝรั่ง
ถ้าบอกว่าอร่อย จะเชื่อไหม 5555 ทำเป็นอยู่ 3-4 อย่าง หมูผัดชิง หมูพริก กับแกงจืดผักกาดเต้าหู้ แต่ช่วงหลัง ๆ doordash นางมีส่งฟรี ที่ดีงามมากกก เราก็เลยแทบไม่ได้ทำละ .___.
Phase 5 (May): Easing of COVID-19 Restrictions
สำหรับวันนี้เป็นวันที่ 9 MAY ตัวเลขออสไม่ค่อยขึ้น แต่ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในรัฐของเมลเบิร์น หรือ Victoria และรัฐของเมือง Sydney หรือ New South Wales เนื่องจากคนเยอะอะเนอะ นางมี 2 เมืองใหญ่อยู่ แต่ก็จะเริ่มให้ออกจากบ้าน ให้เจอคนได้ละ เนื่องจากคนต้องเริ่มกลับมาทำงานเพื่อหารายได้ และเศรษฐกิจต้องกลับมา นาง estimate ว่าที่ปิดแบบนี้ อาทิตย์หนึงเสียไป 4 พันล้านดอลล่าร์ออส เลยต้องทำให้เปิดโดยเร็ว
แต่นางก็ต้องระวัง เพราะกลัวจะมี second wave แบบสิงคโปร์ที่เพิ่งเปิด และก็ต้องกลัยมาปิดอีก นางไม่อยากปิดๆเปิดๆอะเนอะ ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นว่าจะได้ไปกินข้าวนอกบ้าน หรือได้ไปทำขนตาสักทีไหม และที่สำคัญคือคิดถึง Gym มาก ไม่ใช่อะไร ตั้งแต่ปิดคือน้ำหนักไม่ขึ้นนะ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้กิน แต่เพราะรู้สึกเหลวไปหมด อยากออกกำลังกายบ้างอะไรบ้าง
และที่สำคัญคือแน่ ๆ มหาลัยปิดทั้งเทอม 1 ซึ่งก็คือจนกว่าจะเปิดเทอม 2ในเดือนสิงหา ถ้ารัฐบาลเปิดประเทศและไม่ได้มี second wave เราเชื่อว่าเทอม 2 น่าจะกลับไปเรียนได้ปกติ ขอเถอะ ปีสุดท้ายแล้วด้วย ไม่อยากให้ต้องจบ และกลับ้านแบบเน้เลยยย
สำหรับตอนนี้ เราก็กำลัง Work from home และพยายามออกไปเดินแถวบ้านทุกวัน เริ่มสังเกตว่าคนเยอะขึ้นมาก เหมือนปกติเลย ทั้งๆที่รัฐบาล victoria ยังไม่ได้ประกาศว่าออกจากบ้านได้ แต่เหมือนคนเริ่มไม่กลัวแล้วอะ หรือไม่ก็เริ่มอยู่บ้านไม่ได้
และอีกอย่างช่วงนี้นางก็มีให้โหลด app ที่จะใช้ Bluetooth ในการจับว่าถ้าใครที่เป็น และเราไปอยู่ใกล้เค้า เค้าจะแจ้งมา เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ตอนแรกๆพวกฝรั่งก็แบบไม่โอ กลัวเรื่อง privacy แต่พอรู้ว่าไม่ต้องกรอกอะไรเยอะแยะ นางก็ยอม เพื่ออิสรภาพจากการโดน shutdown ให้ได้กลับไปทำงานหาเงินเร็ว ๆ
Thanks to: The News Daily
แต่ยอมรับเลยว่ารัฐบาลที่นี้ค่อนนข้างจัดการดี impress มากหลังจากที่โดนด่าอย่างเยอะช่วงต้นปีเรื่องไฟป่าที่ใหญ่ ๆ ของออสอะเนอะ โดยเฉพาะนาง Scott Morison ที่แบบช่วยคนเรื่อง เศรษฐกิจ โดยทั้งให้เงินให้คนจ้างลูกจ้างต่อเอ่ย หรือไม่ต้องจ่ายค่าบ้าน คุยกับพวก bank ไม่ให้ต้องจ่ายหนี้ หรือค่าดาวบ้านในช่วงนี้เอ่ย คือค่อนข้างเห็นว่าโอเคประเทศเจริญแล้วเป็นงี้นี้เอง นอกจากนั้นออสยังมี testing เยอะอันดับโลก รองจากเดาหลีใต้ แต่ก็ว่าไม่ได้ ประเทศนี้คนน้อยกว่าเยอะ มีประมาณ 25 ล้านคนอะเนอะ เราเองก็เพิ่งไปฉีดยา vaccine ไข้หวัดใหญ่ เสียเงินไปแค่ 20 ดอลด้วย (เพราะไม่ได้อยู่ในประกัน)
เอาเป็นว่านี้คือ update เวอร์ชั่นส่วนตัวของเด็กไทยเรียนต่อโทคนนี้ ขอให้ผู้อ่าน stay safe กันด้วยค่าาา