
ในปัจจุบันที่มีรถบนท้องถนนประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคัน และรถราคาเริ่มต้นไม่ถึงล้าน เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากจะเพิ่มความรู้เบื้องต้นแบบเบสิคที่ให้เข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต วันนี้อยากมานำเสนอสิ่งน่าสนใจเกี่ยวกับ “ประกันรถ” เรื่องเคลม เรื่องประสบการณ์ที่เจอมา และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ที่อยากมาแชร์ เพราะฉะนั้นจะมีคำถามโง่ ๆ เยอะมาก เพราะเชื่อว่าหลาย ๆ คนไม่รู้เหมือนเรา
เนื่องจากสมัยนี้เชื่อว่าใคร ๆ ก็ขับรถเองกันหมด โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเรา ๆ ที่ไม่อยากนั่งแท็กซี่และชอบที่จะขับไหนมาไหนด้วยตัวเองโดยไม่รอใคร ยิ่งช่วงฝนตกนี้แบบ ไม่เอาาาา ผมชั้นนน รองเท้าชั้นนน กระเป๋าชั้นนนน ชั้นยอมติดในรถก็ได้ ทั้งสะดวกทั้งสบายใจ ใคร ๆ ก็ขับเองกันหมดแล้ววว ไม่น่าละท้องถนนเลยโครตจะติด แต่เราเชื่อว่าน้อยคนโดยเฉพาะชะนีอย่างเรา ๆ จะเข้าใจเรื่องประกันรถ ว่าเออถ้าเกิดเหตุใหญ่ หรือเหตุเล็ก ต้องโทรยังไง และเคลมยังไงกัน อะไรคือเคลม “ไม่รู้ว่าต้องรู้อะไร” แบบต้องรู้ไรบ้าง ถ้าเกิดเหตุจริง ๆ ก็ค่อยเรียนรู้เอง แต่ไม่เกิดจะดีมาก เพราะคงเอ๋ออยู่ตรงนั้น มีบางคนที่เคยได้ยินมาก็ร้องไห้ ยิ่งโดนพวกคนขับแท็กซี่ปากหมา ที่อยากได้ตังและไปเร็ว ๆ ด้วยแล้ว วันนี้เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์และสิ่งน่าสนใจหลาย ๆ อย่างที่เชื่อว่าจะสามารถช่วยสาว ๆ หลาย ๆ ไม่มากก็น้อยกันนน
จริง ๆ เราก็ไม่ได้เป็นโปรอะไรหรอกนะ เป็นเพียงอีกชะนีที่ไม่รู้เข้าใจภาษารถ และไม่คิดจะเรียนรู้หรือศึกษา หรือถามอะไรพี่ชาย หรือเพื่อนชายเลย เพราะพูดไปกูก็ไม่เข้าใจอยู่ดีค่าา แต่พอดีว่าปีที่ผ่านมา เคลมไปเกือบ 8 รอบ และเข้าศูนย์ไป 4 รอบจนสนิทกับพี่ที่ทำงานอยู่ที่นั้น เคลมเยอะซะจนประกันที่ทำอยู่เค้าไม่รับต่ออะคิดดูววว
ทุกอย่างเริ่มมาจาก…
รถที่มีเข้าสู่ปีที่ 3 และรถค่อนข้างเยิน จากการขูดนู้น ชนนี้ไปเรื่อย และไม่เคยเคลมมาก่อนใน 2 ปีแรก เพราะไม่รู้เรื่อง แบะไม่อยากรับรู้อะไรด้วย ตอนปีที่ 2 เราจำได้เลยว่าชนกับมอไซ และแทนที่จะเรียกประกัน แม่ให้เบอร์ไป แล้วบอกให้โทรมาบอกค่าใช้จ่ายละกัน เพราะแม่เองก็ไม่รู้เรื่องประกันเหมือนกัน
แต่ไป ๆ มา ๆ รถเป็นรอยเยอะเกินจะทน ทำให้ตอนทำประกันเข้าปีที่ 3 แม่ตัดสินใจว่าแกต้องไปทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป โชคดีที่แม่สามารถหาเพื่อนที่ช่วยได้ โดยปกติแล้วถ้าจะทำประกันกับบริษัทใหม่ เค้าจะให้คนของเค้ามาตรวจสอบรถเราว่ามีรอยอะไรบ้างไหม เค้าเรียกรอยนี้ว่า remark ประมาณว่า เป็นรอยที่มีมาก่อน ไม่สามารถเคลมได้ ต้องจ่ายเองเพราะเป็นรอยที่เกิดขึ้นก่อนที่จะทำกับเค้า เออ อันนี้ make sense แต่เพราะเพื่อนแม่เราเส้นใหญ่(?) เลยสามารถแค่ส่งรูปคุณาพต่ำ ๆ ไปทางไลน์ได้เลยยย และคือก็พยายามถ่ายห่วย ๆ ให้ไม่เห็นรอย และได้ประกันชั้น 1 กับบริษัทที่หนึงมา ส่วนใหญ่แล้วรถใหม่ ๆ ทุกคันจะมีประกันชั้น 1 มาด้วย
ประกันแต่ละชั้น ความแตกต่าง
เริ่มจากอธิบายก่อนว่า ประกันที่พวกเราจ่ายกันทุกปีนั้นเค้าเรียกว่า ประกันสมัครใจ เป็นประกันที่ดูแลคุ้มครองหลายอย่าง อันนี้เป็นประกันที่นอกเหนือจากพ.ร.บ. หรือประกันที่กฎหมายบังคับว่ารถทุกคันต้องมี เพื่อดูแลจ่ายค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหต พูดง่าย ๆ ก็คือ พ.ร.บ.จะดูแลเรื่องคน (human) ในอุบัติเหต แต่ถ้าอยากดูแลเรื่องรถ (machine) เราก็ต้องซื้อประกันสมัครใจ ที่นอกเหนือจากพ.ร.บ.
ประกันชั้น 1
แพงสุด ดีสุด สำหรับรถใหม่ทุกคัน และสำหรับคนขับมือใหม่ ที่อาจจะมีโอกาศไปชนกับสิ่งต่าง ๆ เช่นกำแพง ขอบถนน เพราะประกันชั้น 1 สามารถเคลมได้ทุกกรณี เหมาะสำหรับรถสภาพที่ดี อายุไม่เกิน 7 ปี และผู้หญิงอย่างเรา ๆ หรือเราคนเดียว? ที่ชอบชนนู้นชนนี้แบบไม่มีคู่กรณี
ประกันชั้น 2+
คุ้มครองความเสียหายเกือบทุกสาเหตุ ยกเว้น การเกิดอุบัติเหตุจากรถชนสิ่งอื่นๆ อันนี้ละที่ต่างไปจากประกันชั้น 1 ข้างบน
ประกันชั้น 3+
ก็คุ้มครองทั้งการซ่อมแซมรถของเราและคู่กรณีเมื่อเป็นอุบัติเหตุการชนของรถกับรถเท่านั้น ดังนั้นเลือกให้เหมาะที่สุดจากประสบการณ์การขับรถของเรา อันนี้จะสำหรับคนที่ขับมาสักพักและไม่ได้ไปชนกับของนู้ของนี้
ประกันชั้น 3
ความคุ้มครองที่ถูกและสบายกระเป๋าที่สุด อันนี้เหมาะกับรถที่มีอายุมากหน่อย คุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุการชนระหว่างรถชนรถและซ่อมให้เฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือถ้าชน ประกันชั้น 3 จะช่วยคุ้มครองรถของคนที่เราไปชน เพื่อว่าเค้าร้อนรนที่จะต้องการซ่อม อย่างน้อยก็จะมีประกันอันนี้เพื่อสบายเงินในกระเป๋า แต่สำหรับรถเรา เพราะอายุเยอะแล้ว และใช้ไม่บ่อย ถูกจอดหงอยเหงาอยู่ที่บ้าน จะซ่อมเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อมีเงินเพียงพอ
สิ่งที่ต้องรู้
- ทำประกัน(สมัครใจ)กับบริษัทอะไร ชื่อพวกนี้คุ้น ๆ ไหมเช่น
- กรุงเทพประกันภัย
- วิริยะประกันภัย
- สินมั่นคงประกันภัย
- อาค์เนย์ประกันภัย
- นวกิจประกันภัย
หรือจะมาจากธนาคารอย่าง:
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนชาต
- ไทยพาณิชย์ เป็นต้น
ไปลองเปิดเก๊ะตรงคนนั่งข้างหน้าดูว่ามีเบาะแสอะไรบ้างไหมที่จะบอกว่าเออ ทำกับที่นี้นะ ของเรานี้เพิ่งรู้ว่าทำกับธนชาต(สีส้ม)ปีแรก และค่อยเปลี่ยนมาอลิอันซ์ และปีที่ 3 เนี้ยละที่เพื่อนแม่เข้ามาช่วยให้ทำกับประกันที่หนึงได้ และนี้ก็คือจุดจบของบริษัทนี้ เพราะเจออีแอนนาเข้าไป5555
2. พอเรารู้แล้วว่าทำกับบริษัทประกันอะไร ตอนนี้ก็ถึงเวลาหาเบอร์ hotline แจ้งเหตุ ที่เปิดตลอด 24 ชม. และจงเซฟเข้า contacts ในมือถือสะเดียวนี้เลย ส่วนใหญ่ถ้าเป็นรถใหม่ ๆ ก็อาจจะมีการติดไว้ที่กระจกรถเพื่อให้ง่ายต่อคนขับ และการมองเห็น
ตัวอย่างที่ติดกระจกหน้ารถ จะเป็นชื่อบริษัทและเบอร์ติดต่อ บางที่เป็น hotline บางที่เป็นเบอร์ 02 ไปเลย
โทรหาประกันได้เมื่อไหร่ ตอนไหน
อะถึงสิ่งสำคัญ มีเบอร์แล้วไง โทรตอนไหน และต้องมีข้อมูลอะไรที่ต้องรู้และเตรียมไว้บอกเค้าบ้าง
โทรตอนไหน?
ตอนที่เราเกิดอุบัติเหตุชน เฉี่ยว ขูด อะไรก็ว่าไป สำหรับประกันชั้น 1 จะดีกว่าเพราะไม่จำเป็นต้องมีคู่กรณีเป้นรถอีกคันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นชนกำแพง เสา ขอบถนน ก็สามารถโทรได้หมด อีกอย่างหนึงที่ดีมาก ๆ คือ ถ้าโดนมอไซค์ชนแล้วหนี จริง ๆ ตามหลักเราต้องจำเลขทะเบียนให้ได้ และไปแจ้งความ เพื่อจะได้สามารถเคลมกับประกัน แต่ในกรณีแบบนี้ส่วนใหญ่ก็จะไม่บอกกันว่ามอไซค์ชนแล้วหนี
ข้อมูลที่ต้องรู้
เมื่อโทรหาเบอร์ Hotline เค้าจะมีเครื่องตอบรับ ให้เรากดว่าแจ้งเหตุค่ะ เสร็จพอมีคนรับ ก็บอกเลขทะเบียนรถ พอคนที่รับสายได้ข้อมูลเราไปแล้ว ก๋จะรู้ทั้งชื่อเจ้าของรถ และยี่ห้อรถด้วยค่ะ ตอนนี้เค้าก็จะถามว่าเราเป็นคนขับใช่ไหม มีบัตรชับขีใช่ไหม และเค้าก็จะถามว่าเราอยู่ไหนค่ะ สำหรับอุบัตติเหตุที่เกิดบนท้องถนน เราก็บอกเค้าไปให้ชัดเจน หรืออธิบายว่ามาจากไหน และกำลังไปไหน แต่ในกรณีของเราที่จะเคลมรอยที่ชนกับกำแะงหรือฟุตบาทเอง คือสามารถที่จะนัดเค้ามาหาได้ตามสถานที่ที่ต้องการ เช่นที่ทำงาน หรือที่บ้านค่ะ และนัดเวลาได้ด้วย เอาที่เราสะดวก
สำหรับกรณีที่เกิดอุบัตติเหตุ และคนที่เราไปชนอาจจะเป็นคนที่ดูเหมือนจะเอาเรื่อง อยากได้เงินจากเรา และไม่ต้องรอประกัน ห้ามฟังเด็ดขากนะคะ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องลงไปเลย อาจจะแค่เปิดหน้าต่างและบอกว่าเรียกประกันมาแล้ว ให้รอ เราจ่ายเงินประกันให่เค้าช่วยดูแล เป็นคนออกหน้าให้เราเมื่อเกิดอุบัตติเหตุค่ะ เราไม่จำเป็นต้องลงไปเคลียอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้ดี อาจจะมีการบอกว่าโอเคย้ายมาตรงที่ไม่ขวางการจราจร ผู้หญิงหลาย ๆ คนจากที่ฟังมาหลาย ๆ เคสคือพอพวกคนขับแท็กซี่เห็นว่าเป็นผู้หญิง ก็จะทำหัวรุนแรง เพื่อขอเงินเป็นเงินสดค่าเสียหาย เสียเวลา ยังงี้ไม่ถูกต้องค่ะ ไม่ว่านางจะพูดอะไร เรามีประกัน ทุกอย่างแก้ได้ ต้องใจเย็น ๆ ตั้งสติ และโทรหาประกันค่ะ
ประกันมาหาขับมาหาถึงที่ แล้วต้องทำอะไร
เมื่อโทรเสร็จ ก็รอค่ะ ไม่ว่าจะหาที่รอที่มีที่จอด หรือตรงนั้นเลยเพราะอยากเก็บเป็นหลักฐานอะไรก็ว่ากันไป ทางที่ดีคือเมื่อเราโทรติดต่อประกันแล้ว ให้รอในรถ เปิดไฟฉุกเฉิน พอประกันมา เค้าก็จะสวัสดีเราปกติ และเค้าจะมีเคลียให้ ถ้าคนที่เราชนด้วยเค้ามีประกันด้วย เค้าก็จะตกลงคุยกันเองค่ะ สะดวก สบาย และหายห่วงมาก ๆ
เค้าจะมีการขอใบขับขี่เรา อันนี้สำคัญมาก ๆ ต้องติดตัวไว้นะคะ และเค้าก็จะถ่ายรูปตรงที่โดนชน หรือมีรอย และก็จะทำการเอาเบอร์ถังรถไป
อันนี้เราไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ อยู่เฉย ๆ ตอบคำถาม ใจเย็น ๆ ตั้งสติ และรอเค้าทำงานค่ะ
ในเหตุบางกรณีที่ โอเค ที่เค้าชนเรา และเห้ยเรารีบอะ ไม่มีเวลารอประกัน ก็อาจจะขอเบอร์ ขอถ่ายรูปบัตรประชาชน และนัดกันว่าจะมาเจอกันเพื่อเคลมในวันที่ว่างทั้งคู่ได้ค่ะ หรือบางครั้งอย่างเราคือถ้าไม่เป็นอะไรมาก ออกมาดูและไม่ได้เสียหายมาก เราก็ยอม ๆ ไป จริง ๆ ก็ไม่ค่อยดีหรอกค่ะ เพราะมีคนบอกว่าบางครั้งดูด้วยตาเปล่าอาจจะไม่รู้ ข้างในอาจจะพัง และจะต้องเสียตังอยู่หลายบาท ใครรับผิดชอบ อันนี้แล้วแต่คนเลยค่ะ
หลังจากได้ใบเคลมจากประกันแล้ว และยังไงต่อ
พอตัวแทนจากประกันมาและคุยเคลียอะไรเสร็จแล้ว เค้าจะมีใบเคลมค่ะ จะหน้าตาประมาณนี้
ใบนี้ห้ามหายนะ อย่างแรกคือเราต้องรู้ก่อนว่าศูนย์ที่รับซ่อมให้เราเนี้ยอยู่ไหน ทำแต่ละที่ไม่เหมือนกันนะคะ บางทีรับประกันบริษัทนี้ หรือศูนย์ที่เราไปบ่อย ๆ และใกล้ ๆ บ้านดันไม่รับ ทางที่ง่ายที่สุด โทรไปถามศูนย์เลยว่ารับบริษัทประกันนี้ไหม และพอวันไหนที่ว่างก็รีบไปจัดการนัดวันเข้าซ่อมเลยค่ะ ศูนย์พวกนี้จะคิวยาวมากกกก และไม่มีการจ่ายตังเพื่อลัดคิวอะไรใด ๆ ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ เสียดายมาก เพราะอุสาจะไปต่างประเทศตั้งเดือนหนึง ขนาดเราเผือไว้แล้วตั้งเป็นเดือน ก็ยังต้องรอคิวนานค่ะ แนะนำให้แวะไปก่อนในวันว่าง ๆ และถามเค้าดูว่าได้เมื่อไหร่ และจะเลือกวันอะไรยังไงก็ค่อยไปตกลงกันอีกทีว่าสะดวกไม่สะดวก เราสามารถเอารถไปฝากก่อนวันซ่อมจริงได้ 2-3 วันค่ะ
การต่อประกัน เปลี่ยนบริษัท หรือทำกับที่เดิม?
จากที่เปลี่ยนทุกปี แนะนำว่าอย่าเปลี่ยนเลยถ้าเราไม่จำเป็นจริง ๆ อย่างของแอนกว่าจะเข้าใจเรื่องพวกประกันก็เข้าปีที่ 3 ละเปลี่ยนมา 3 ที่ เอาจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องเบี้ยประกันค่ะ แต่เข้าใจอย่างหนึงคือ ถ้าเราอยู่กับที่ไหนนานๆ เค้าจะมีส่วนลดให้ ถือเป็นลูกค้าเก่า แต่อย่างเคสแอน คือแอนไม่รู้เรื่อง 2ปีแรกไม่เคยเคลม แต่ดันไม่ต่อกับเค้า ปีที่ 3 เคลมเยอะจนเกิน จนเค้าไม่รับทำต่อ เพราะเราติด blacklist เคลมเยอะไป ใช่ค่ะมียังงี้ด้วย แบบคงเห็นว่าเรามันตัวยุ่ง เลยไม่รับทำต่อ ก็ต้องจำใจเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนเยอะ ๆ ประกันบริษัทเค้าจะรู้ค่ะ แล้วเค้าก็จะขอแพงกว่าปกติ เพราะมันดูเหมือนเราหนีประวัติ เหมือนไปทำกับที่ไหนเค้าก็ไม่รับทำต่อปีที่2 ไรงี้
ให้ดูว่าโอเคประกันเราหมดอายุวันไหน และถามว่าถ้าต่อกับที่เดิทเท่าไหร่ โทรไปถามสักไม่เกิน 10-20 นาทีกับที่อื่นว่าถ้ารถรุ่นนี้ อายุเท่านี้ จะคิดสักเท่าไหร่ และมาเปรียบเทียบกันดูว่าจะอยู่กับบริษัทเดิมดีไหม อะไรแบบนี้ค่ะ นี้คือแบบ BASIC สุด ๆ
ถ้าเข้าใจไม่ผิด ถ้าเราไม่ค่อยมีปัญหา ไปชนชนนี้กับใคร ครั้งต่อไปที่ทำก็จะไม่แพงค่ะ เหมือนเป็นส่วนลดให้ ก็จะดีกว่าไปทำกับที่ใหม่ ที่เค้าไม่รู้ว่าเออเราเป็นคนขับรถดีนะ คิดถูกให้หน่อยแล้วกันเหมือนบริษัทเก่าที่เรามีประวัติอยู่แล้ว แน่นอนว่าเคสนี้ไม่สามารถ apply กับแอนได้ เพราะแอนตรงกันข้ามอย่างแรง5555
การถามถึงราคาต่อประกัน ก็สามารถทั้งโทร อีเมล หรือไลน์ได้ด้วยนะคะ
ความแตกต่างของการซ่อมห้าง กับซ่อมอู่
ประกันนอกจากจะมีหลายระดับชั้น และราคาที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีการซ่อมที่แตกต่าง แบบห้างคือประกันที่สามารถเอารถเข้าไปซ่อมได้ในศูนย์ ส่วนอู่จะเป็นซ่อมแค่ในอู่อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ เราได้ก๊อปข้อมูลดี ๆ ต่อไปนี้มาจากเว็บนี้ค่ะ
ข้อดีของการซ่อมห้าง
- หากรถคุณเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ซ่อมห้าง จะมีอะไหล่ใหม่รับรองให้คุณมากกว่า ขณะที่ซ่อมอู่ อาจจะหาอะไหล่ไม่ได้ และต้องรอสั่ง อะไหล่ที่ได้ เป็นของแท้แน่นอน อุ่นใจ เพราะสั่งตรงจากโรงงานรถยนต์ของยี่ห้อของคุณ
- หากรถคุณมีปัญหาเฉพาะภายในเครื่องยนต์ อู่ศูนย์จะเชื่อใจได้มาก เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะประจำอยู่ งานส่วนมากจะเนี้ยบ ได้มาตรฐาน
ข้อเสียของการซ่อมห้าง
- ราคาแพงกว่า
- ระยะเวลานานกว่ามาก ตั้งแต่การรอคิวที่นานมาก และการซ่อมก็ใช้เวลานานกว่า บางจังหวัด บางสถานที่ ก็ไม่มีศูนย์บริการ จึงอาจมีปัญหาที่การเข้าถึง
ซ่อมอู่ จะมีแบบ อู่ในเครือ คุณไม่ต้องสำรองเงินออกไปก่อน และอู่นอกเครือนั้น คุณต้องสำรองเงินออกไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำใบเสร็จไปเคลมเงินจากประกันทีหลัง
ข้อดีของการซ่อมอู่
ส่วนใหญ่คนเลือกซ่อมอู่ใกล้บ้าน รู้จักกัน เพื่อนแนะนำ จึงคุยง่าย หาง่าย สะดวก เบี้ยประกันรถยนต์ถูกกว่าซ่อมศูนย์มาก มีตัวเลือกให้คุณเลือกเยอะ ไม่ต้องรอนานเหมือนซ่อมห้าง บางที วันสองวัน คุณก็ได้รถแล้ว!
ข้อเสียของการซ่อมอู่
หากซ่อมเสร็จ และเกิดปัญหา ซ่อมอู่ บางทีจะไม่รับผิดชอบแก้ไขให้ อาจโดนโกงเรื่องอะไหล่ ใช้ของปลอม ใช้ของถูก ใช้ของใช้แล้ว อันนี้ต้องดูให้ดี ถ้าดูไม่ดี ก็แย่หน่อย ถ้าเลือกร้านดี มีคนแนะนำมา งานก็อาจจะเนี้ยบ แต่ถ้าเลือกไม่ดี งานอาจจะไม่เนี้ยบก้ได้
เอาเป็นว่าเราจะมาบอกแค่นี้ก่อนน้าาา เชื่อว่าของ basic แบบนี้ สาว ๆ อย่างพวกเราคงไม่เข้าใจจริง ๆ แต่ต้องเริ่มหาความรู้กันนะะะ เพราะเราจะได้ไม่โดนบริษัทประกันเอาเปรียบ เราต้องฉลาดทันเค้าให้ได้!